มาตรฐานคนดี

“คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว”


“คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว”

“ทัวร์ลง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาทันที ภายหลังนายกรัฐมนตรีโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ยังมีประชาชนส่วนหนึ่ง ทำตัวเป็นภาระของส่วนรวม ทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น”

ปฏิกิริยาความไม่พอใจ ประทุขึ้นทันที แฮชแท็ก #ประยุทธ์ออกไปมาจากทั่วสารทิศ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ในวันพุธที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

นายกฯ หยั่งอารมณ์ประชาชนไม่ออกเชียวหรือว่า พอใจหรือชิงชังกับการแก้ไขสถานการณ์โควิดของรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน

นายกฯ ประเมินผลงานตัวเองไม่ออกเลยเชียวหรือว่า แม้แต่ นพ.นคร เปรมศรี ก็ยังกราบ “ขออภัย” พี่น้องประชาชนว่า “แม้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ พยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังจัดหาวัคซีนได้ไม่เพียงพอ เพราะเป็นสถานการณ์ที่เราไม่คาดคิด”

ครับ สถานการณ์โควิดที่รุนแรงและระบบสาธารณสุขที่ล้มเหลวเห็นกันโทนโท่ทุกวันนี้ เคยอยู่ในความคาดคิดของนายกฯ มาก่อนหรือไม่

ก็คงจะ “ไม่” เฉกเช่นเดียวกับ ผอ.วัคซีนฯ นั่นแหละ “ดูเบา” อีกต่างหากด้วยซ้ำไป รอแต่ว่าจะมีสักวันหนึ่งไหม ที่นายกรัฐมนตรีจะกล่าวคำ “ขออภัย” เฉกเช่นเดียวกับ ผอ.วัคซีนฯ

ย้อนความหลังเมื่อเดือนมกราคม ต้นปีมานี้เอง นายกฯ ยังฝันบรรเจิด แถลงข่าวด้วยตัวเองว่า จะรับมอบวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศรวม 61 ล้านโดสดังนี้

พ.ค.1.7 ล้านโดส, มิ.ย.4.3 ล้านโดส, ก.ค.-พ.ย. รวม 5 เดือน ๆ ละ 10 ล้านโดส และเดือน ธ.ค.รับมอบ 5.0 ล้านโดส รวมกับวัคซีนจากแหล่งอื่นที่เข้ามาแล้ว 6 ล้านโดสคือซิโนแวค รวมเป็น 67 ล้านโดส

เหลืออีก 33 ล้านโดสจะครบ 100 ล้านโดส จะจัดหามาจากไฟเซอร์ 20 ล้านโดส, จอห์นสัน & จอห์นสัน 5 ล้านโดส และ ซิโนแวคซ้ำอีก 8 ล้านโดส

นายกฯ ประกาศก้อง สิ้นปี 2564 จะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน หรือร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร

ประกาศจะฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 ยังไม่พอ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประกาศ 120 วันเปิดประเทศอีก ซึ่งน่าจะถึงเส้นตาย 16 ต.ค.นี้ ผ่านมาแล้ว 36 วัน เพิ่งจะฉีดไปได้ประมาณ 15 ล้านโดสเศษเท่านั้นเอง

คำประกาศโลกสวยของนายกฯ มาจากพื้นฐานอะไรกันล่ะ!

หนังสือ 2 ฉบับของรองประธานแอสตราเซเนกาลงวันที่ 25 มิ.ย. 2564 และหนังสือของอนุทิน ชาญวีรกูล มีไปยังแอสตราเซเนกา ลงวันที่ 30 มิ.ย. 2564 ที่สำนักข่าวอิสรา นำมาตีแผ่ นั่นคือกุญแจสำคัญไขความจริงอันน่าเศร้าใจทั้งหมด

วัคซีนแอสตราเซเนกาที่นายกฯ ให้คำมั่นจะได้รับรวมทั้งสิ้น 61 ล้านโดส ภายในปีนี้ แท้ที่จริงกลับกลายเป็น “วัคซีนทิพย์” ที่มโนกันขึ้นมาเองเท่านั้น

มันไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นกับการบริหารงานระดับชาติเช่นนี้

ตอนที่นายกฯ ประยุทธ์ร่ายยาวแผนวัคซีน AZ ในเดือน ม.ค.น่ะ ยังไม่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายล็อต 2 จำนวน 35 ล้านโดส เลยนะครับ สัญญาเดินทางอย่างอ้อยอิ่งกว่าจะเซ็นกันได้ก็ล่วงเข้าเดือน พ.ค. 2564 หรืออีก 4 เดือนต่อมา

เท่ากับนายกฯ แถลงไปบนความว่างเปล่า ยังไม่มีสัญญาซื้อขายในมือใด ๆ สักฉบับ

เมื่อจองช้าก็ได้ช้าเป็นธรรมดา ในขณะที่ลูกค้ารายอื่น ๆ ในอาเซียน ปิดจ๊อบทำสัญญากับแอสตราฯ ไปแล้วตั้งแต่ ธ.ค. 2563-ม.ค. 2564 แถมรองประธาน AZ แนะนำให้ไทยเข้ากลุ่มโคแวกซ์ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากฝ่ายไทย

หนังสือของ รมว.สาธารณสุขลงนาม 30 มิ.ย.น่ะ เหมือนหนังสือขอความเห็นใจกลาย ๆ เพราะมีแต่คำขอให้ AZ ส่งมอบวัคซีนให้เดือนละ 10 ล้านโดส เนื่องจากนายกฯ ไทยไปสัญญากับประชาชนไว้แล้ว และสถานการณ์โควิดในประเทศรุนแรงขึ้นทุกที

แต่ตอนสัญญาล็อตแรก 28 ล้านโดสก่อนหน้านี้ ก็ยืนยันความต้องการแค่เดือนละ 3 ล้านโดสเท่านั้น รองประธาน AZ ยังใจดีผลิตให้ 1 ใน 3 ของกำลังผลิตหรือเดือนละ 5-6 ล้านโดสอยู่เลย

ฉะนั้นจะไปบีบบังคับอะไรเขา คงทำไม่ได้หรอก ยิ่งจะไปบังคับห้ามการส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทย ออกนอกราชอาณาจักรไปยังเพื่อนบ้านทั้งหลาย ยิ่งจะน่าเกลียดตายชัก!

เบื้องหลังอันน่ารันทดเหล่านี้ ยังจะให้ประชาชนมั่นใจได้อยู่หรือว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส และครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 ได้ และก็ยังจะเชื่อใจในฝันสีทอง 120 วันเปิดประเทศ” ได้อยู่หรือ

คนดีจริงชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว ขอไม่พูดมาก เจ็บคอ!

Back to top button