พาราสาวะถี

บอกแล้วว่าหมอการเมืองก็มีหน้าที่คอยรับใช้นักการเมือง ไม่อยากเรียกว่าขี้ข้าให้เสียราคาและคุณค่าของวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา แต่พฤติกรรมกับสิ่งที่ปรากฏอันเป็นความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 มันทำให้หลีกเลี่ยงใช้คำนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุดที่มีเอกสารของที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขหรืออีโอซีของกระทรวงสาธารณสุข เสนอให้ออกพ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19


บอกแล้วว่าหมอการเมืองก็มีหน้าที่คอยรับใช้นักการเมือง ไม่อยากเรียกว่าขี้ข้าให้เสียราคาและคุณค่าของวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา แต่พฤติกรรมกับสิ่งที่ปรากฏอันเป็นความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 มันทำให้หลีกเลี่ยงใช้คำนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับกรณีล่าสุดที่มีเอกสารของที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขหรืออีโอซีของกระทรวงสาธารณสุข เสนอให้ออกพ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

หากไปถามหมออาชีพทั้งหลายแล้ว เชื่อได้เลยว่าทุกคนไม่ได้มีปัญหาต่อการปฏิบัติหน้าที่จนเกรงว่าจะมีใครมาฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักวิชาชีพของบุคลากรทางการแพทย์ได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพ มีมาตรฐานทางวิชาชีพ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จะถือว่าไม่มีความผิดอยู่แล้ว ดังนั้น ทุกอย่างเมื่อดำเนินการด้วยความสุจริตจึงไม่จำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายใดมาคุ้มกะลาหัว

ยิ่งได้ฟังคำชี้แจงของ อนุทิน ชาญวีรกูล คนที่คุมกระทรวงคุณหมอ ยิ่งทำให้เห็นภาพเด่นชัดยิ่งขึ้นว่า สิ่งที่กำลังจะทำกันนั้นเป็นความหวังดีปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข ให้มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อการรับมือโควิดโดยไม่ต้องกังวล หรือเพื่อปกป้องพวกที่ผิดพลาดล้มเหลวจากการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 กันแน่ สถานการณ์ย่ำแย่ที่เป็นอยู่เวลานี้ถามว่าถ้าไม่เลือกแทงม้าตัวเดียวตั้งแต่ต้น คนไทยทั้งประเทศจะมีปัญหาเรื่องวัคซีนกันหรือไม่

ข้ออ้างที่ว่ากฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ผู้รับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการ การจัดบริการทางแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานโควิด-19 ทั้งหมด ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยไม่ต้องกังวลกับความรับผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยเจตนาดีของผู้ปฏิบัติงาน หากเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม บุคลากรดังกล่าวก็ไม่ต้องรับผิด

สิ่งที่อธิบายนั้นมันเป็นคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว หมออาชีพเมื่อปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่อหรือไม่เลือกปฏิบัติใด ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดต่อการกระทำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายมาคุ้มครอง มิหนำซ้ำ ประชาชนผู้ที่ได้รับการดูแลจากบุคลาการเหล่านั้น ยังจะช่วยเป็นเกราะป้องกันที่ดีเสียด้วยซ้ำไป การบอกว่าบุคลากรเหล่านั้นจะได้ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ เป็นเวลาเกือบสองปีมาแล้วที่ทุกคนทุ่มเท เสียสละ ซึ่งคนทั้งประเทศต่างก็รับรู้ร่วมกัน

คำอธิบายต่อมานี่ต่างหากที่มันเด่นชัดยิ่งว่า ออกกฎหมายนี้มาเพื่ออะไร รวมถึงหากผู้ที่ได้รับมอบหมายในการเจรจาหรือจัดหาวัคซีน มีเจตนาสุจริต การตัดสินใจดำเนินการเป็นไปตามหลักวิชาการที่สนับสนุนในขณะนั้น กฎหมายนี้จึงเห็นควรให้ความคุ้มครองบุคคลหรือคณะบุคคลเหล่านั้นด้วย เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เจตนาว่าจะสุจริตหรือไม่ แต่มันอยู่ที่ว่ามีการวางแผน เตรียมการ มองสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไรต่อวิกฤติของโรคระบาดที่ประเทศต่าง ๆ ก็เตรียมการรับมือกันอย่างเต็มที่โดยเฉพาะเรื่องของวัคซีน

ประเด็นนี้มีคนทักท้วงมาโดยตลอด และก็เป็นคนที่กำลังอธิบายเรื่องการออกกฎหมายมาคุ้มกะลาหัวที่น่าจะรวมถึงตัวเองด้วยนั่นแหละ ย้ำเองว่าวัคซีนหลักที่เป็นม้าตัวเดียวจะเป็นกำลังสำคัญในการรับมือการระบาดได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดหรือจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ แต่หลังการระบาดระลอกสองที่ควรตระหนักและเร่งดำเนินการ ก็ยังกลับเอ้อระเหยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เช่นนี้แม้มีเจตนาสุจริตแต่ถือเป็นการละเลยไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่ผู้บริหารประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกังวลหรือไม่

อย่างที่ยกตัวอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก ประเทศฟิลิปปินส์มีปัญหาเรื่องกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างเหมือนประเทศไทย แต่เขาก็มีการแก้ไขซึ่งช้ากว่าประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมจึงมีการสั่งซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนกว่า 2 ล้านโดสตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และอีกกว่า 14 ล้านโดสเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศที่อ้างว่าเราเป็นผู้ผลิตให้กับบริษัทเจ้าของต้นตำรับวัคซีนแท้ ๆ ได้แค่อ้างตัวเลขทิพย์ 10 ล้านโดสต่อเดือนแต่ได้จริงแค่ 5-6 ล้านโดส จนเป็นปัญหาคาราคาซังมาถึงทุกวันนี้

การบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลวเช่นนี้ จะยกกฎหมายแค่ว่ามีเจตนาบริสุทธิ์มาคุ้มครองเช่นนั้นหรือ มันไม่หน้าด้านไปหน่อยหรืออย่างไร สะท้อนให้เห็นว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจถนัดต่อการใช้กฎหมายปกป้องตัวเอง ตั้งแต่การนิรโทษกรรมให้กับการกระทำของคณะรัฐประหารทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตแล้ว เช่นนี้ ถามต่อไปว่าหมอ (ขี้ข้า) การเมืองทั้งหลายไม่ละอายใจกันหรืออย่างไรที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องฝ่ายบริหารที่ไม่เอาไหน

เหมือนที่ นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเสรีรวมไทย ตั้งข้อกังขา เนื่องจากสถานการณ์ระบาดและการแก้ปัญหามีภาพประจักษ์ชัดว่ามีความผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง รวมถึงมีความบกพร่องในการทำหน้าที่จัดหาวัคซีนที่ล่าช้า ทำให้ประชาชนรอคอยวัคซีนจำนวนมาก รวมถึงมีคนเสียชีวิตจำนวนมากหรือไม่ ในฐานะผู้บริหารเมื่อพบการบริหารที่ผิดพลาดต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง

ขณะเดียวกัน หากออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อใช้เฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 สิ่งที่ต้องตั้งคำถามต่อไปก็คือ ทำไมไม่ทำกับทุกสถานการณ์หรือทุกเรื่อง เพราะต้องยอมรับว่าการปฏิบัติหน้าที่ฐานะแพทย์ พยาบาล ทุกสาขาของสาธารณสุข มีกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้รับการรักษาเสียชีวิต หรือพิการจากการรับการรักษาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ได้รับการคุ้มครองเพราะถือว่าได้ทำหน้าที่โดยเจตนาสุจริต ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ และส่วนใหญ่ประชาชนก็เข้าใจกันทั้งสิ้น

ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่แทนที่จะคิดหาหนทางว่าทำให้คนส่วนใหญ่รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร แต่กลับไปหาหนทางในการที่จะหนีความผิด คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เพียงเท่านั้นก่อนหน้านี้ก็อ้างว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไม่ได้มีปัญหา แต่พอจะออกกฎหมายแบบนี้ก็อ้างว่า ประเทศกำลังมีปัญหาวิกฤติด้านสาธารณสุข” การแถไปไม่สิ้นสุดมันสะท้อนให้เห็นถึงอาการจนตรอกแทนที่จะหาทางออกด้วยวิธีและวิถีที่สง่างาม แต่กลับจะทำให้วงการแพทย์และสาธารณสุขมัวหมองไปเสียฉิบ

Back to top button