สปิริต ‘อย่างหนา’

นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ถูกยื้อไว้เพราะอยากไปต่อ อยากซื้อเวลา ยิ่งนานยิ่งช้าก็ยิ่งพาประเทศลงโคลน


หมอวรงค์ ไทยภักดี ชื่นชม “แรมโบ้อีสาน” เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ลาออกจากผู้ช่วยรัฐมนตรีด้วยสำนึกรับผิดชอบ เช่นเดียวกับปริญญ์ พานิชภักดิ์ ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์

สปิริตสูงส่งมากเลย ดร.เสกสกล หน้าทนอยู่ได้ 15 วัน หลังมีคลิปเสียง 15 ล้าน จนข้ามปีใหม่ไทย ค่อยนึกขึ้นได้ว่าไม่อยากให้ประยุทธ์ด่างพร้อย ประยุทธ์ก็หูทวนลม 15 วัน โยนให้ฝ่ายค้าน ให้กรรมาธิการ ไปพิสูจน์ว่าเสกสกลผิดจริง ไม่ปลดซะอย่างใครจะทำไม จนผ่านไปครึ่งเดือนค่อยนึกได้ว่าถ้าให้อยู่ต่อรัฐบาลเสียหาย

ปริญญ์ลาออกอย่างไว แต่เพราะสปิริตหรือร้อนท้อง น่าจะรู้แก่ใจ ไลน์กลุ่มประชาธิปัตย์ที่หลุดถึงนักข่าวก็บอกชัด ว่ารู้กันภายในตั้งนานแล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ส.ส.หลายคนรู้ประวัติ เคยคัดค้าน แต่จุรินทร์ดันเป็นรองหัวหน้าพรรคจนได้

ตอนแรก ๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยืนหยัดในวัฒนธรรม “เอาดีใส่ตัวเอาชั่วทิ้งน้ำ” พรรคไม่เคยส่งเสริมให้ใครทำผิด เป็นเรื่องเฉพาะตัว หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการแต่งตั้ง กระทั่งสังคมรุกตั้งคำถาม มีข่าวมีคดีที่อังกฤษตั้งแต่ปี 2003 ในแวดวงสังคมไทยถ้าไล่สืบประวัติก็น่าจะรู้บ้าง พรรคการเมืองเก่าแก่คัดเลือกคนอย่างนี้ได้ไง

สุดท้ายจุรินทร์ต้องแถลงข่าวขอโทษ ยอมรับมีส่วนสำคัญในการผลักดัน แต่ยังไม่ลาออก

“หากอยู่ ๆ ก็ลาออกแล้วทิ้งปัญหาไว้ ก็จะเป็นการหนีปัญหา นั่นคือความไม่รับผิดชอบ” วรรคทองของประยุทธ์ ของจุรินทร์ ยังไงก็ไม่ออก

ทั้งสองกรณีเป็นสปิริตหรือจำนนจนแต้ม ก็รู้กัน โลกปัจจุบันมีพลังทางสังคมร้อนแรง รุมด่ากดดันจนไม่สามารถดื้อแพ่ง ดื้อก็ได้ แต่อยากฉิบหายทั้งคอกให้รู้ไป ยิ่งใกล้เข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งผู้ว่า กทม.และเลือกตั้งใหญ่ ภายในพรรคภายในรัฐบาล ก็มีแรงกดดันให้จัดการกันเอง

แต่ถ้าถึงขั้นให้ประยุทธ์ให้จุรินทร์รับผิดชอบต่อการแต่งตั้ง ก็ไม่มีทาง สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ คนที่มีความผิดชัดเจนแน่นอนอันดับแรก คือไอ้โม่งที่ cap ข้อความในกลุ่มไลน์มาส่งให้นักข่าว ซึ่งรู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร

สำหรับประยุทธ์ เสกสกลก็อาจเป็นแค่เบี้ยใช้แล้วทิ้ง หยิบมาจากฝ่ายตรงข้าม ใช้งานคุ้ม 3 ปี ชิ่งตัวเองหนีไม่รับมลทิน

เรื่องขำ ๆ คือ 3 ปี 3 องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ จบชีวิตทางการเมืองไปคนละอย่าง สิระ ปารีณา เสกสกล ยังเหลือแค่ลำโพง ธนกร วังบุญคงชนะ ที่กล้า ๆ พูดว่า “มิลลิ” เป็นหนึ่งในศิลปินที่ร่วมผลักดัน Soft Power ตามนโยบายประยุทธ์

สถานการณ์วันนี้ในภาพรวมคือ รัฐบาลไม่มีเครดิตอะไรแล้ว ใช้ปากอ้างผลงานรูทีนไปวัน ๆ เช่น “นายกฯ ชมทุกภาคส่วน ร่วมใจเดินหน้าสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จนไทยเป็นชาติแรกที่ดำเนินการตามปฏิญญายูเนสโก” (ธนกรแถลงข่าว)

“อากาศร้อน โรคพิษสุนัขบ้าพุ่ง นายกฯ ห่วงประชาชน แนะดูแลบุตรหลาน ระวังโดนหมาแมวข่วน” (ธนกรส่งให้กลุ่มไลน์นักข่าว)

“นายกฯ ปลื้ม สงกรานต์นักท่องเที่ยวมาก เศรษฐกิจคึกคัก บอกเห็นคนมีความสุขก็ยินดี” (ประยุทธ์พูดเรื่อยเปื่อย)

สงกรานต์ทิพย์ ยังบอกว่าคึกคัก จะเปิดจะปิดก็ยึกยัก เคยมีที่ไหน ตำรวจไล่จับปืนฉีดน้ำ คนส่วนใหญ่แค่เดินทางกลับบ้าน แต่ไม่มีเงินใช้จ่าย เศรษฐกิจก็ไม่ไหว โควิดก็กังวล แม้คนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ก็ติดง่ายแพร่ง่ายวันละหลายหมื่น แล้วในจำนวนนี้ก็มีคนตายวันละเป็นร้อย

ในทางการเมือง นับถอยหลังสู่อภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้อาจยืดเวลาไปเป็นเดือนสิงหา แต่ยิ่งนานรัฐบาลก็ยิ่งช้ำ ยิ่งแตกแยก แม้ฝ่ายค้านคงไม่ชนะ หรืออาจไม่มีหมัดเด็ด แต่เครดิตรัฐบาลก็ล่มสลายไปแล้วเพราะทำตัวเอง

นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ถูกยื้อไว้เพราะอยากไปต่อ อยากซื้อเวลา ยิ่งนานยิ่งช้าก็ยิ่งพาประเทศลงโคลน

Back to top button