ลมปาก ‘พาวเวล’ ทำพิษ

สถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกมีอันต้องพังครืนลงมาไม่เป็นท่า เพียงเพราะลมปากของ “เจอโรม พาวเวล” ซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานเฟด


*สถานการณ์ของตลาดหุ้นทั่วโลกมีอันต้องพังครืนลงมาไม่เป็นท่า เพียงเพราะลมปากของ “เจอโรม พาวเวล” ซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานเฟดออกมาประกาศกร้าวถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในทำนองที่ว่า ไม่ลังเลใจที่จะปรับขึ้นในระดับสูงสุดเพื่อเป็นการสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก จนดัชนีดาวโจนส์ทรุดลงไปกว่าพันจุดไงล่ะคะ

*ประเด็นข้างต้นสอดคล้องกับเรื่องที่ “โมนิก้า” ไล่เรียงไทม์ไลน์ดัชนีดาวโจนส์ให้ฟังเมื่อสองวันก่อน ซึ่งตอนนั้นพยายามชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การเล่นหุ้นช่วงนี้ต้องอิงกับสัญญาณเทคนิคเป็นหลัก พร้อมกับย้ำหัวหมุดการเด้งขึ้นในแต่ละรอบของดัชนีดาวโจนส์มีลักษณะยอดต่ำลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็พบว่า ทุกครั้งที่ย่อตัวลงมาจะมีโลว์ใหม่เกิดขึ้นเหมือนกัน เดี๊ยนเลยไม่เชื่อว่า ดัชนีดาวโจนส์จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเจ้าค่ะ

*ที่สำคัญคือ หากมองเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เฟดกำลังทำอยู่ในเวลานี้ ถือเป็นผลกระทบที่ทำให้สินทรัพย์ต่าง ๆ ร่วงลงระเนระนาด ซึ่งเห็นได้จากเมื่อคืนก่อนดัชนีแนสแด็กร่วงเป็นนกปีกหักลงไปถึง 4.70% หรือแม้กระทั่งบิตคอยน์ก็ร่วงลงมาแถวสองหมื่นเก้าพันเหรียญ รวมถึงราคาทองคำที่เคยอยู่ในระดับ 2 พันเหรียญเมื่อกลางเดือนก่อน ก็ร่วงลงมาอยู่แถว 1,800 เหรียญเสียแล้วนะจ๊ะ

*ทั้งหมดที่เกริ่นให้ฟังล้วนมาจากราคาน้ำมันพุ่ง ซึ่งมีชนวนเหตุมาจากความเผือกของคนบ้าอำนาจอย่างอเมริกาที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่น “โมนิก้า” ถึงมองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตกอยู่ในภาวะผันผวนต่อไปอีกนาน และการที่ดัชนีทรุดลงไปถึง 1,592.10 จุด ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,605.98 จุด ลบไป 14.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.26 หมื่นล้านบาท ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากสุด และยังทำให้รู้ว่า มีคนกล้าซื้อหุ้นสวนจำนวนมากนะคะ

*โดยเฉพาะฟอร์มของหุ้นน้องใหม่อย่าง FTI ที่สามารถสวนภาวะตลาดหุ้นแดงเถือกได้ตั้งแต่เปิดเทรดยันปิดเทรด ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 3.84 บาท บวกไป 1.34 บาท หรือขึ้นไป 53.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.73 พันล้านบาท ถือเป็นช็อตที่น่าตามดูเหลือเกิน โดยเฉพาะในมุมของผลงานที่มีแนวโน้มจะกลับมาโต น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ราคาหุ้นทะยานอย่างแข็งแกร่งนะจ๊ะ..นะจ๊ะ

*เม้าท์ถึงการกลับมาโตเด่นทั้งที “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นรถไฟใต้ดินอย่าง BEM กันอีกครั้ง เพราะเมื่อดูจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นหลังจากโรงเรียนเปิด บริษัทต่าง ๆ กลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันเพียบ จนส่งผลให้รถติดแหงกบนทางด่วน ก็อนุมานผลงานไตรมาส 2 ได้ทันทีว่า สวยชัวร์! วานนี้จึงเห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 8.85 บาท บวกไป 0.05 บาท หรือขึ้นไป 0.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 989 ล้านบาทนะจะบอกให้

*ส่วนหุ้นที่มาสายโตอีกหนึ่งตัว “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น WHA เพื่อชี้ให้เห็นแนวโน้มผลงานปี 65 มีสิทธิ์โต 40% จึงกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจสุด ๆ ในมุมของการลงทุนระยะกลางถึงยาว ผนวกกับราคาหุ้นลงมาค่อนข้างเยอะ และกำลังอยู่ในช่วงของการเซตตัว เดี๊ยนจึงเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 3.14 บาท ลบไป 0.04 บาท หรือลงไป 1.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68 ล้านบาท คือจุดที่มีความเสี่ยงต่ำในการลงทุนนะตัวเอง

*ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นโรงหมออย่าง EKH ขึ้นมาทันที เพราะการกลับมาใหญ่ในเที่ยวนี้เป็นผลมาจากพันธมิตรสายแข็งที่อยู่ในวงการโรงหมอมานานหลายปี จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นจะเด้งขึ้นด้วยเหตุผลดังกล่าว แถมทุกคนรับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า ไม่ช้าก็เร็วหุ้นตัวนี้ต้องมาแบบจัดเต็มล้านเปอร์เซ็นต์ เดี๊ยนถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 7.65 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 5.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 76 ล้านบาท โดนใจไหมพะยะค่ะ

*สำหรับรายที่มีความเสี่ยงสูง และยังไม่มีวี่แววฟื้นตัว ต้องมองไปที่หุ้น KEX แบบไม่ลังเลใจ เพราะของมันเห็นเต็มสองลูกตาว่า ธุรกิจมีการแข่งขันรุนแรง แถมคู่แข่งก็รุกคืบอย่างหนัก จนทำให้สงครามราคายังต้องดำเนินต่อไป และเรื่องนี้จะจบก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายหมดกระสุน “โมนิก้า” ถึงกล้าแนะนำแฟนคลับอย่าเข้าไปยุ่งกับเกมอันตราย เพราะการยืนปิดที่ระดับ 20 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่แห้งเหือดในระดับ 35 ล้านบาท คือภาพที่บอกให้รู้ว่า ไม่มีใครให้ราคาหุ้นตัวนี้นะนายจ๋า!

Back to top button