SELIC นำโชคเกินจำเป็น

ราคาหุ้นของ SELIC ที่ขึ้นมาแรงมาก ยามที่ผ่านมาสามวันจึงเป็นกรณีน่าศึกษาสำหรับพฤติกรรมของ “คุณตลาดระดับแมงเม่า” มากกว่า


ราคาหุ้นที่ชนเพดานในวันเดียวของหุ้น บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิ.ย. 65 แถมวันต่อมาก็ราคาแรลลี่เป็นขาขึ้น รวมสองวันราคาบวกกว่า 50% สะท้อนข่าวลือทางบวกด้านผลประกอบการล่วงหน้าที่เกินคาดทำให้คำถามว่ามีดีอะไร เกิดขึ้นมา เพราะปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

คำตอบอยู่ในถ้อยแถลงชนิดไม่ชี้นำของนางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ SELIC ที่ออกมาบอกใบ้ด้วยการเปิดเผยว่า การเติบโตของธุรกิจในปี 64 ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาฟื้นตัวของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์ หลังจากที่มีการเปิดเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศกลับมา จากการเร่งฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้มีความต้องการใช้วัสดุและสินค้าและต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มกาวอุตสาหกรรมที่มีความต้องการมาก และเริ่มเห็นสัญญาณ ความต้องการใช้สติ๊กเกอร์ที่เพิ่มขึ้นกลับมา

ทั้งหมดนี้  สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น จากการกลับมาเปิดเมืองในต่างประเทศ ทำให้แนวโน้มยอดขายจากต่างประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าไตรมาสแรกนั้นกำไรสุทธิจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ไตรมาสถัดไปจะรับรู้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เหตุมาจากช่วงไตรมาส 2 และครึ่งปีหลังคาดว่าผลการดำเนินงานจะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการ ผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 มาต่อเนื่อง แต่มองว่าสถานการณ์ ในปีนี้ดีขึ้นกว่าปีก่อนมาก หลังจากที่คนเริ่มปรับตัวได้มากขึ้น และมีวัคซีนเข้ามาช่วยป้องกัน

ข้อเท็จจริงดังกล่าวยืนยันว่า การประกาศแต่งตั้งนางสาว ยุวดี นั่ง CEO ของบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC แทนนายเอก สุวัฒนพิมพ์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่แปลกที่เป็นไปตามสูตร “เคลื่อนตัวสู่มืออาชีพ” ของบริษัทมหาชนตามปกติ แม้ผู้ถือหุ้นใหญ่จะยังคงเป็นกลุ่มครอบครัวผู้ก่อตั้งตามเดิม…ไม่ได้มีผลสะเทือนทางลบแต่อย่างใดระหว่างการเป็นมืออาชีพ กับเจ้าของกิจการ

การถอยฉากจากการที่ผู้ประกอบการเดิมเปิดทางให้มืออาชีพนั้น โดยหลักการแล้วควรกระทำมานับแต่การเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ เมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว  เป็นการกระทำที่ “ไม่เคยสายเกินการ” แต่ในข้อเท็จจริงแล้วเสมือนการเติมพลังเทอร์โบเข้าในเครื่องยนต์โดยปริยาย

การที่นายเอกเปลี่ยนตัวเองจากการเป็น CEO แต่ยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดบริหาร) ซึ่งจะเน้นการดูแลในด้านการกำหนดทิศทางของกลุ่มบริษัทในภาพรวม แทนที่การเข้ามายุ่งกับงานประจำของประจำวัน ซึ่งสร้างความชัดเจนให้กับบทบาทที่ต่างกันเพื่อเปิดทางให้บุคคลนอกครอบครัวเข้ามาสานงานต่อจึงเป็นเส้นทางที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง

โดยไม่ต้องอ้างเหตุผลที่ท่องจำจากตำราการบริหารจัดการธุรกิจอย่างสูตรสำเร็จ เช่น “เป็นการปรับองค์กรในระดับผู้นำองค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรมีการปรับเปลี่ยนและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี และด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป…การทำสิ่งซึ่งควรกระทำมานานแล้วจึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม

เหตุผลเพราะการเปิดทางให้ผู้บริหารจากภายนอก จะช่วยให้การปรับเปลี่ยนทำได้สะดวกกว่าข้อจำกัดแบบเดิมของธุรกิจครอบครัว ต้องการมุมมองที่แตกต่าง และวิสัยทัศน์ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กรในระยะยาว

ปัจจุบัน SELIC กำลังอยู่ในช่วงเติบโตช่วงสอง จากการที่มีรายได้จากธุรกิจกาวเพื่ออุตสาหกรรมใน สัดส่วน 41% อันเป็นธุรกิจดั้งเดิม และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์ 59% อันเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตรวดเร็วจากการเข้าสู่การเติบโตทางลัด ผ่านการควบรวมกิจการเมื่อ 2 ปีก่อน

ปีที่ผ่านมา รายได้และกำไรของ SELIC จากตัวเลขจากทั้ง 2 ธุรกิจหลักมีการเติบโต คือ รายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมซึ่งเป็นโมเดลแบบ B2B อยู่ที่ 605.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% และรายได้จากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากซึ่งเป็นโมเดลแบบ B2C อยู่ที่ 445.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนแต่ในไตรมาส 3 ว่า ออกมาทรงตัวจากไตรมาสก่อนเพียงเล็กน้อย สภาพรวมของประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กำลังซื้อของภาคประชาชนลดลง

เมื่อแนวโน้มธุรกิจเดิมเริ่มเติบโตช้าลง การหาธุรกิจใหม่ จึงเป็นความจำเป็นและโอกาสใหม่พร้อมกันไปในตัว แต่ก็มีความเสี่ยงมาแทรกปนอย่างเลี่ยงไม่พ้น

ราคาหุ้นของ SELIC ที่สะดุด อยู่ใต้และรอบ ๆ 3.50 บาท ช่วงที่ผ่านมาหลังจากการจ่ายหุ้นปันผล 10% สะท้อนความกังวลออกมาชัดเจน แต่ เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่สิ่งแปลก เพราะเคยเกิดเหตุทำนองเดียวกันกับกรณีที่ SELIC เคยเข้าซื้อกาวสติ๊กเกอร์มาแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ถือว่าดีเกินคาด

การทะยานขึ้นชนเพดานพร้อมกับวอลุ่มเทรดอันคึกคัก ทำให้ราคาหุ้นทะยานต่อเนื่องเหนือ 3.70 บาท ล่าสุด นอกจากทำให้คนรับปันผลเป็นหุ้น เสมือนถูกแจ็คพอร์ต 2 ชั้น  ถือเป็นก้าวย่างใหม่เท่าการวิ่งของราคาเป็นชัยชนะหลังจากปีศิลปะก้าวย่างใหม่ของ SELIC เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดธุรกิจเดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ที่เป็น STARs จึงต้องการมุมมองตามเสมอ

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการคาดเดาดังกล่าว จะถูกต้องเสมอไป เพราะถ้าหากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาดหรือตามคาด ไม่มีคำว่าเกินคาด ราคาหุ้นก็อาจจะถูกทิ้งดิ่งให้คนที่ไล่ตามราคากันสองสามวันนี้ ตาเหลือกและโทษ “แพะ” กันให้วุ่นวาย…ยกเว้นตัวเอง

ราคาหุ้นของ SELIC ที่ขึ้นมาแรงมาก ยามที่ผ่านมาสามวันจึงเป็นกรณีน่าศึกษาสำหรับพฤติกรรมของ “คุณตลาดระดับแมงเม่า” มากกว่า

Back to top button