หุ้นที่ต้องลุ้นหนัก?

จริงๆ “โมนิก้า” เป็นคนมองโลกในแง่บวกแบบสุดซอย เพราะเคยผ่านช่วงแย่แบบสุดซอยมาแล้ว จึงเชื่อว่า น่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นตามหลังมากมาย


จริง ๆ “โมนิก้า” เป็นคนมองโลกในแง่บวกแบบสุดซอย เพราะเคยผ่านช่วงแย่แบบสุดซอยมาแล้ว จึงเชื่อว่า น่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นตามหลังมากมาย ซึ่งเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจฐานรากก็เริ่มสะพัดขึ้นกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งเรื่องการลงทุนใหม่ ๆ ของบริษัทข้ามชาติก็มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ ล้วนเป็นประเด็นที่ทำให้เดี๊ยนรู้สึกชื่นอกชื่นใจเหลือเกินเจ้าค่ะ

น่าเสียดายที่ความฝันดังกล่าวมักถูกทำลายเป็นประจำ เพราะข่าวร้ายจากต่างประเทศยังตามหลอกหลอนไม่เลิกเสียที ไล่เรียงตั้งแต่แรงกดดันจากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งปัญหาสงครามที่ส่อแววขยายวงกว้างมากขึ้น หรือแม้กระทั่งดอลลาร์แข็งค่าก็เป็นตัวเร่งให้ต่างชาติหันมาขายหุ้นอีกรอบ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบกับการเคลื่อนตัวของดัชนีเต็ม ๆ “โมนิก้า” ถึงมองว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากนะคะ

ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” ต้องเท้าความย้อนกลับไปถึงข้อเขียนเมื่อวันก่อน ซึ่งมีการพูดถึงการทรุดตัวของดัชนีดาวโจนส์ มันคือภาพสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า เงินไหลออกจากทุกตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และแรงกดดันตรงนี้จะทำให้ดัชนีไทยตกอยู่ในอาการซึมลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดี๊ยนถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,645.29 จุด บวกไป 11.84 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.73 หมื่นล้านบาท มีโอกาส “ขึ้น” หรือ “ลง” มากกว่ากันจ้า!

เหมือนกับอาการยึกยักของเจ้าพ่อถ่านหิน BANPU หลังจากทะยานขึ้นไปแตะระดับ 15 บาท ต่อจากนั้นก็โรยตัวลงช้า ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 13.60 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.52 พันล้านบาท มันเป็นสถานการณ์ที่ต้องพึงระวังมากน้อยขนาดไหน? แถมเมื่อดูจาก BV ที่อยู่ในระดับ 14 บาท ก็เป็นจุดที่ทำให้เชื่อว่า การลงทุนแถวนี้เป็นเซฟโซนอย่างไม่ต้องสงสัย! แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตลาดให้แวลูหุ้นตัวนี้มากขนาดไหนนะจ๊ะ

ในเมื่อเอ่ยถึงเรื่องบุ๊กแวลูขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องกันไปมองหุ้น PTTGC กันสักหน่อย เพราะเมื่อดูจาก BV ที่อยู่ในระดับ 68 บาท เทียบกับราคาหุ้นในกระดานที่ระดับ 44 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 690 ล้านบาท มันทำให้หุ้นตัวนี้กลายเป็นตัวเลือกลำดับต้นที่แวลูอินเวสเตอร์ต้องมอง แต่ในความเป็นจริงช่างตรงข้ามกับทฤษฎีที่เดี๊ยนร่ำเรียนมาอย่างสิ้นเชิง เลยเม้าท์ได้แค่ว่า 3 ครั้งก่อนหน้านี้ หุ้นก็เด้งกลับแถวนี้นะคุณพี่!

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นสะดวกซื้ออย่าง CPALL เพื่อชี้ให้เห็นความอ่อนแอของราคาหุ้นมันมีมานานถึง 7 เดือน และเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกำไรที่ออกมาแต่ละงวดน่าผิดหวัง (โควิดหลอกหลอน) เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่บรรดากองทุนรินขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ เพราะเมื่อคิดแบบอนุรักษ์นิยมโดยใช้กำไรต่อหุ้นปีนี้จะอยู่ราว 1.35 บาท เทียบกับ PE 40 เท่า (ให้เต็มแม็กซ์) ราคาหุ้นก็จะอยู่แถว 54 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานอยู่ที่ 57 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.60 พันล้านบาท มันมีโอกาสลงต่อเห็นๆ จริงไหมจ๊ะ

อีกรายที่น่าฉงนใจมากเหลือเกิน “โมนิก้า” คงมองไปที่ช่องน้อยสีอย่าง BEC เพราะกลายเป็นหุ้นที่มีแรงขายทยอยออกมาเรื่อย ๆ ทั้งที่หลายคนมอว่า ธุรกิจบันเทิงเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เดี๊ยนเลยไม่เข้าใจสาเหตุที่ทำให้หุ้นย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 12.90 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.03 พันล้านบาท (ซื้อขายเยอะเพราะมีบิ๊กล็อต 47 ล้านหุ้น) แถมมองในมุมของหุ้นที่มีโกรทเป็นแรงสนับสนุน อย่างต่ำ ๆ น่าจะยืนตั้งฐานที่บริเวณ 14 บาท ได้แบบสบายเกือกเจ้าค่ะ

ส่วนรายที่พยายามจะตีกลับหลายครั้ง แต่ยังทำไม่สำเร็จสักที จนโมเมนตัมของหุ้นอยู่ในทิศทางไซด์เวย์ดาวน์ร่วมครึ่งปี “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นเครื่องดื่มชูกำลัง OSP แบบไม่ลังเลใจ เพราะปัญหากำไรลดในแต่ละปี กลายเป็นตัวบั่นทอนราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เดี๊ยนถึงมองการเด้งขึ้นของหุ้นมายืนปิดที่ 28.50 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 146 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 31 เท่า มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักพอสมควรนะคะ

ในเมื่อเล่าเรื่องด้วยการคัมแบ็คกันทั้งที “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้นน้องสี DPAINT เพื่อชี้ให้เห็นการวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 9.30 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 8.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 266 ล้านบาท ล้วนเป็นช็อตที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกำไรอย่างแน่นอน เพราะหุ้นที่ขึ้นแรงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถูกปูพรมแดงด้วยเรื่องพรรค์นี้กันทั้งนั้น..ส่วนจะทำได้จริงเหมือนที่แมงลือเม้าท์กันไหม? คงต้องวัดจากฝีมือของหัวเรือใหญ่ “รณฤทธิ์” อยู่ในระดับพระกาฬอ๊ะป่าว..อิอิอิ

Back to top button