ถึงเวลารื้อหลังบ้าน!

วันนี้เป็นอีกวันที่ “โมนิก้า” ยังวุ่นวายกับหุ้น MORE มหาประลัย เพราะข้อมูลฉาวจากทุกสารทิศยังไหลเข้ามาไม่ขาดสาย


วันนี้เป็นอีกวันที่ “โมนิก้า” ยังวุ่นวายกับหุ้น MORE มหาประลัย เพราะข้อมูลฉาวจากทุกสารทิศยังไหลเข้ามาไม่ขาดสาย จนไม่รู้จะเชื่อข้อมูลจากแหล่งไหนมากกว่ากัน! และต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คงมาจากการแถลงข่าวด่วนของ “ตลท.” กับ “สมาคมโบรกฯ” ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ต้องโชว์วิสัยทัศน์จริง ๆ พ่อเจ้าประคุณทูนหัวกลับไม่มีสาระที่สังคมอยากรู้เลยสักอย่าง และเรื่องนี้คล้ายกับคำถามยอดฮิตของคนทั่วไปที่ถามตำรวจว่า มีบ่อนไหม? คุณพี่ตำรวจก็มักจะตอบว่า…อิอิอิ

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” จำเป็นต้องร่ายยาวข้อมูลออกมาเป็นฉาก ๆ เพราะวันแถลงข่าวด่วนบรรดาโบรกเกอร์ต่างมาประชุมกันที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาธุรกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งนำมาสู่การแขวน SP ในวันจันทร์ที่ผ่านมา และขึ้นยาวจนไปถึงวันศุกร์ พร้อมกับมีคำพูดหลุดลอยออกมาในทำนองว่า ต้องใช้เวลาตรวจสอบเส้นทางการเงินนะตัวเอง

โมเมนตัมดังกล่าวทำให้ผู้รู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.โบรกฯ กับโบรกฯ 2.โบรกฯ กับรายย่อย ซึ่งประเด็นแรกไม่มีอะไรต้องคาใจ แต่ประเด็นหลังมีเรื่องต้องถกกันยาว เพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของรายย่อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องสั่งหยุดซื้อขายหุ้น แถมวันก่อน “พี่โบ้” ก็ออกตัวแรงในทำนองที่ว่า ลูกค้าเบี้ยวเงินโบรกเกอร์ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำไม่ใช่เหรอ?

ประเด็นนี้แหละที่ทำให้บูมเมอแรงที่ขว้างออกไปย้อนกลับเข้ามาที่ตรงกลางกบาล เพราะคำสั่งห้ามการซื้อขายเที่ยวนี้มันทำให้ภาพ ตลท.คือพระเจ้า ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เพราะอยากจะสั่งอะไร..ก็สั่งได้ทันที โดยหลงลืมเรื่องระบบหลังบ้านที่ผู้บริหารรุ่นก่อน ๆ ได้วางรากฐานสำหรับการตรวจสอบอย่างโปร่งใสสลายหายไปในทันที และยังทำลายเรื่องความน่าเชื่อถือในระดับประเทศ เพราะท้ายที่สุดก็แหกปากวิ่งโร่ไปขอให้ ปปง. และตำรวจสอบสวนกลางเข้ามาช่วยหนูด้วยค่ะ!

ตรงนี้คือความล้มเหลวของระบบควบคุมหลังบ้าน และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางการรับรู้เป็นระยะ และทั้งหมดก็มาพังครืนไม่เป็นท่าตอนที่หุ้น MORE เบี้ยวหนี้ จึงทำให้ผู้บริหารแต่ละโบรกฯ เต้นผางกันเป็นแถว เพราะไม่คิดว่า การอนุมัติเพิ่มวงเงินให้กับหนุ่มที่ทำตัวเป็นไฮโซ และขับรถหรูแพงระยับ จะมาตลบหลังคนที่เคยเอื้อผลประโยชน์ให้สุดซอย จึงต้องมานั่งทบทวนสิ่งที่โบรกเกอร์ได้ทำลงไปนะนายจ๋า!

ว่ากันว่าแต่ละโบรกฯ ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเบี้ยวหนี้กำลังเซ็ตระบบมาร์จิ้นกันใหม่ และเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงกับมูลค่าการซื้อขายในอนาคต เพราะโบรกฯ แต่ละแห่งจะลดวงเงินเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บหนักไปกว่านี้ ขณะเดียวกันก็จะเปิดช่องให้สำนักงาน ก.ล.ต. เข้าไปตรวจระบบหลังบ้านแบบเต็ม ๆ และตรงนี้จะเป็นชนวนเหตุให้ผู้บริหารโบรกเกอร์บางแห่งกระเด็นตกเก้าอี้ไงล่ะคะ

งานนี้จริงเท็จประการใดไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างยังเป็นเพียงแค่การประเมิน “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับจับตาดูให้ดีว่า สุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร? แต่สิ่งหนึ่งที่ฟันธงได้ทันทีว่า ต้องมีคนไอเสียงดังว่า คุก..คุก เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะได้ยินข่าวแว่ว ๆ ในทำนองว่า ก.คลังเตรียมเข้ามาจัดการ และดูเรื่องนี้อีกแรงหนึ่ง! และเรื่องนี้ก็สอนให้ “ตลท.” กับ “นายกโบรกฯ” รู้ว่า คิดจะออกตัวแรงก็ต้องไปให้สุดซอย ขืนมาทำเป็นเล่นแบบเด็กขายขนม ก็ต้องโดนข้ามหัวเป็นธรรมดานะตัวเอง

ไหน ๆ เม้าท์เรื่องร้อนกันทั้งที “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น “ความงอม”..อุ๊ย..”ความงาม” อย่าง KLINIQ กันสักหน่อย เพราะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีเรื่องราวให้ชวนสงสัยหลังเข้าเทรดได้เพียง 6 วัน และเป็นอะไรที่น่าสงสัยมาก ๆ เมื่อ “กรรมการ” ของบริษัททั้ง 2 คนลาออกพร้อมกัน ผนวกกับราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ระดับ 33.25 บาท ลบไป 5.75 บาท หรือลงไป 14.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 794 ล้านบาท ก็ตีความได้อย่างเดียวว่า “วงแตก”..ไม่เชื่อลองถาม เสี่ย ย. ดูซิคะ

เม้าท์ถึงเรื่องแยกวงขึ้นมาทั้งที ก็ต้องมองไปที่หุ้น HEMP กันสักหน่อย เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า “เฮียฉั่ว” กับ “เฮียม้อ” เป็นคนที่เคยสนิทกันแค่ไหน? จึงทำให้หุ้นตัวนี้ติดร่างแหไปแบบช่วยไม่ได้..ครั้นจะออกตัวไปทางไหน ก็ไม่มีทางดิ้นหลุดไปได้ เพราะหลายคนยังกังวลว่า หุ้นตัวนี้อาจใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอมาร์จิ้นก็เป็นไปได้ จึงควรอยู่ห่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย เพราะการยืนปิดที่ระดับ 6.55 บาท บวกไป 0.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3.60 ล้านบาท ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสนใจเทรดหุ้นตัวนี้ แล้วจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงทำไมจ๊ะ

Back to top button