พาราสาวะถี

พระดำรัสสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ทรงประทานแก่ผู้นำเผด็จการในโอกาสที่เข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ที่ฟังจากปากของผู้นำแล้ววังเวงว่า “พยายามอยู่”


แน่นอนว่า ประเด็นการดูแลประชาชนนั้นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็โพนทะนามาตลอดรักทุกคนทั่วประเทศไม่เลือกปฏิบัติ แจกจ่ายกันทั่วถึงอันนี้ไม่ว่ากัน แต่ปมการสร้างความสามัคคีในชาติ สร้างความสงบสุขให้กับบ้านเมืองนั้นกว่า 8 ปีที่ถือว่าเป็นหนึ่งในข้ออ้างสำคัญของคณะเผด็จการ คสช.ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ ทว่านอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ยังถูกมองต้องการให้ความขัดแย้งคงอยู่ด้วยเหตุผลที่ตัวเองและขบวนการสืบทอดอำนาจจะได้อยู่กันยาว

ไม่เพียงแต่แสดงถึงความบ่มีไก๊ไร้ปัญญาที่จะแก้ปัญหาแล้ว ล่าสุด ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังมามุกเดิมบอกกับนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล “ช่วยกันทำบ้านเมืองสงบสุขต่อไปนะ” ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่ซึ่งคนที่เคยมีหัวโขนเป็นหัวหน้าเผด็จการ คสช.ประกาศว่าจะต้องทำให้ความขัดแย้งหมดไป และคืนความสุขให้คนไทย แต่เวลาที่ผ่านมาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่านอกจากหาความสุขไม่ได้ คนส่วนใหญ่ยังมีความทุกข์และหนักข้อมากขึ้นกับภาระที่แบกรับ โดยมีรัฐบาลที่ไร้ความสามารถ ขาดสติปัญญาที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น

ความเป็นจริงที่ทำให้การประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้ก่อให้เกิดความกระเหี้ยนกระหือรือของนักเลือกตั้งที่จะย้ายไปร่วมชายคาพรรครวมไทยสร้างชาติด้วยนั้น ก็เป็นผลพวงมาจากความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่มีอย่างเหลือเฟือ ความสงบภายใต้ร่มเงาเผด็จการนานกว่า 8 ปี หรืออย่างน้อย 4-5 ปีก่อนเลือกตั้ง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นนักบริหารที่มีวิสัยทัศน์ มากความสามารถ

อาจจะอ้างได้ว่าลำพังตัวเองคนเดียวจะทำอะไรได้ ก็ผ่านการพิสูจน์อีกเช่นกันว่า มีการเรียกใช้บริการนักคิด นักบริหารหลากหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดประชาชนก็มองเห็นแล้วว่าคิดได้แต่ทำไม่เป็น หรือบางคนก็คิดและอยากจะทำแต่ติดที่กระบวนการทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่จะต้องรอฟังเสียงของกุนซือข้างกายซึ่งส่วนใหญ่มาจากสายความมั่นคงจะเซย์เยสหรือไม่ ความล้มเหลวตรงนี้ได้รับการการันตีแล้วจากดรีมทีมเศรษฐกิจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในนาม 4 กุมาร

จนสุดท้ายต้องแยกวง เมื่อพ้นจากการร่วมวงกับขบวนการสืบทอดอำนาจแล้ว คนเหล่านั้นก็ทำให้เห็น ยอมรับกับสังคมว่า ระยะเวลาที่ได้เข้าไปร่วมงานกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นมันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด ถึงขนาดชี้นิ้วกันว่าสาเหตุที่ประเทศไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้นั้น เป็นเพราะ “การปฏิรูปล้มเหลว” สิ่งนี้เหมือนเป็นการแทงใจดำ เพราะภายใต้หน้ากากคนดีนั้น ยกเรื่องการปฏิรูปเป็นปัจจัยสำคัญ ตามมาด้วยยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ทั้งหมดก็เหมือนพายเรือในอ่าง หรือบางอย่างเข้าทำนองถอยหลังลงคลองเสียด้วยซ้ำไป

เห็นได้ชัดจากการปฏิรูปการเมือง ย้ำมาตลอดบอกประชาชนอยู่ทุกครั้งตั้งแต่สวมหัวโขนผู้นำเผด็จการ คสช.นักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว สุดท้ายพอจะเข้าสู่โหมดลอกคราบเผด็จการสวมรอยเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ใช้พลังดูดสารพัดเพื่อดึงนักการเมืองที่ตัวเองกล่าวหามาสมสู่ เพื่อเป้าหมายของการอยู่ยาว แต่ก็ไปไม่รอด ยิ่งปลายรัฐบาลสนิมจากเนื้อในตนก็เผยโฉมให้เห็นธาตุแท้กันต่อเนื่อง แม้แต่สายสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป.ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

จะอ้างว่ารักกันเหมือนเดิม สร้างภาพกอดแสดงความรักต่อกัน แต่วันนี้บรรดาคนใกล้ชิด กุนซือทั้งหลายลองไปถามไถ่กันดูมองหน้ากันติด สนิทชิดเชื้อเช่นก่อนหน้านั้นหรือไม่ มีแต่จะชิงไหวชิงพริบเพื่อสร้างความได้เปรียบกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งล่าสุด พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ก็ยอมรับช่วยฉายภาพให้เห็นว่า 250 เสียง ส.ว.ลากตั้งที่จะเป็นกลไกสำคัญเพื่ออุ้มผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้สู่ฝั่งฝันในเก้าอี้นายกฯ นั้น ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

คนที่รู้เรื่องนี้ดีย่อมเป็นพวกที่อยู่ใกล้ตัวพี่น้องแก๊ง 3 ป. ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวเล็ดลอด วิเคราะห์กันไปถึงทิศทางเสียงของ ส.ว.ลากตั้งหากจะต้องชี้วัดว่าใครจะมาเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่สามารถที่จะอ้างว่าทั้ง 250 เสียงหนุนตัวเองแน่นอน ที่น่าจะเข้าเค้าเห็นภาพเสียงที่เปลี่ยนไปของบรรดา ส.ว.ทั้งหลายน่าจะเป็นการมองของ ไพศาล พืชมงคล ในฐานะอดีตกุนซือของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เพราะยังคงแลกเปลี่ยน สนทนาธรรมกับบรรดากุนซือซีกพี่ใหญ่เป็นประจำ

อดีตที่ปรึกษาพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.มองว่า เมื่อแยกเสียงของ 250 ส.ว.ออกมาจะพบว่า เป็นกลุ่ม สว.เลือกตั้ง 50คน ที่อาศัยเครือข่ายบ้านใหญ่ก็ถูกนักการเมืองบ้านใหญ่ดึงไปเป็นพวก โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย ในขณะที่กลุ่มของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ถูกเรียกว่ากลุ่มแป๊ะที่มีอยู่ราว 20 กว่าคนซึ่งแบ่งเลือกข้างกันแล้ว ส่วนกลุ่มข้าราชการประจำ ประเภทผู้บัญชาการเหล่าทัพอีก 6 คน ถ้าพูดอะไรในวันไหนเสียงก็จะดังกว่าใครในวันนั้น

ฐาน ส.ว.ที่เป็นตัวตั้ง 250 คนในการเลือกนายกฯ จึงไม่เหมือนปี 2562 อีกแล้ว ทำให้อำนาจต่อรองที่จะกลับมาเป็นนายกฯ ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจฮวบลงทันที ถ้าวิเคราะห์เฉพาะฐาน ส.ว.ของน้องเล็กกับพี่ใหญ่ ก็จะพบว่าฐานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ที่กลุ่ม วปอ.50 และรุ่นพี่รุ่นน้องรวมทั้งสายป๋าเปรมบางส่วน ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าฐาน ส.ว.สายพี่ใหญ่ซึ่งมีฐานระดับ 100 คนขึ้นไป นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่ใหญ่อารมณ์ดีมีใจบันดาลแรงหรือไม่ แม้จะไปไม่ถึงการได้เป็นนายกฯ แต่อย่างน้อยก็ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และน่าจะได้เก้าอี้ปูนบำเหน็จที่สมน้ำสมเนื้อกว่าตอนที่ถูกน้องเล็กหักคอหลังเลือกตั้งที่ผ่านมา

Back to top button