พาราสาวะถี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า “ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้พบกับคณะรัฐมนตรีซึ่งได้มาถวายสัตย์ฯ ในวันนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่รู้จักกัน เพราะหลายคนก็เคยรู้จักกันแล้ว หลายคนก็ยังไม่เคยรู้จัก จะได้รู้จักกันและแสดงความยินดีที่มีศรัทธาเข้ามาบริหารประเทศ ก็ขอถือโอกาสให้พรให้มีกำลังใจ กำลังกายและปัญญาที่จะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความสุขและเพื่อประโยชน์เป็นส่วนรวมต่อประเทศชาติและประชาชน ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า ท่านมีความตั้งใจดีทุกคน มีศรัทธาทุกคน ก็ขอให้พรให้ท่านมีกำลังใจต่อไปในการปฏิบัติหน้าที่”

นายกฯ คนที่ 30 เศรษฐา ทวีสิน พร้อมรัฐมนตรีทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันน้อมนำกระแสพระราชดำรัสเป็นแนวทางในการทำงาน ทันทีทันใดภาคต่อของการระบุเพื่อไทยเทเดิมพันหมดหน้าตัก เศรษฐาย้ำอีกว่า รัฐบาลนี้ไม่มีเวลาฮันนีมูน ต้องรอดูบทสรุปในการร่างนโยบายซึ่งการประชุม ครม.นัดพิเศษวานนี้ (6 กันยายน) จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางการดำเนินการของรัฐบาลเศรษฐา 1 ซึ่งเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 11 กันยายนนี้

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเติมเงิน 1 หมื่นบาทเข้ากระเป๋าคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ไม่ต้องคาดเดากันอีกว่าจะเริ่มได้เมื่อไหร่ หลังเศรษฐาพูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จากที่ได้หารือและเตรียมการประสานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงานให้สามารถเร่งดำเนินโครงการได้โดยเร็ว และจะเป็นการจ่ายเงินเพียงหนเดียว คิดว่าจะทำให้ได้ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 นั่นหมายความว่า อาจจะทำเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนในเดือนมกราคมปีหน้านี้ก็เป็นได้

ส่วนการลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงานต่าง ๆ จากเดิมที่มองกันว่าการเข้ามากุมบังเหียนกระทรวงพลังงานของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อาจจะทำให้นโยบายที่เพื่อไทยตั้งเป้าจะดำเนินการโดยเร็วเกิดการสะดุด แต่เจ้ากระทรวงยืนยันแล้วว่า โครงสร้างราคามีทั้งส่วนที่อยู่นอกเหนือการควบคุม จะไปปรับลดตรงนั้นไม่ได้ กับส่วนที่ปรับลดได้ เชื่อว่าจะลดราคาพลังงานได้อย่างแน่นอน เพียงแต่รัฐก็ต้องยอมเสียสละในส่วนที่เคยได้อยู่ออกไป ใครว่านักกฎหมายจะยืดยาดชักช้า มา พ.ศ.นี้ต้องมีการปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยกันแล้ว

ความจริงในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่พีระพันธุ์เป็นหัวหน้าพรรค ต้องยอมรับกันว่าพรรคแกนนำรัฐบาลให้เกียรติเป็นอย่างมาก แม้จะมาจากดีลลับเพื่อใครบางคนก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังยินดีที่จะให้คนของพรรคนี้นั่งว่าการในกระทรวงเดิม ทั้งที่มีการประกาศกันไว้ก่อนหน้าจะไม่ยอมให้คนของพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปบริหารกระทรวงที่เคยทำมาก่อนในสมัยรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่กรณีนี้เป็นข้อยกเว้น ย่อมผ่านกระบวนการต่อรอง โดยที่ฝ่ายที่ได้รับโอกาสก็ต้องยอมที่จะทำตามเงื่อนไขซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม ว่ากันด้วยการไม่ยอมให้พรรคขั้วเดิมได้กลับไปคุมงานที่กระทรวงเก่าจะว่าไปก็ถือเป็นฝีมือในการบริหารจัดการของเศรษฐาอยู่เหมือนกัน อย่างที่ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มองถึงประเด็นนี้ว่า การยืนกระต่ายขาเดียวของนายกฯ คนที่ 30 และพรรคแกนนำรัฐบาลที่จะไม่ยอมให้รัฐมนตรีเก่าไปคุมกระทรวงเดิมถือเป็นความสามารถในการบริหารและมองขาดถึงปัญหาที่จะตามมา หากปล่อยให้นั่งกระทรวงเดิมต่อไปอีก 4 ปี เพื่อไทยจะไปทำอะไรไม่ได้เลย

ทั้งนี้ ประเด็นที่คนส่วนใหญ่อยากจะฟังคงเป็นกรณีที่ว่ารัฐบาลผสม 11 พรรคจะอยู่กันได้นานขนาดไหน ปริญญาวิเคราะห์ว่า ให้ดูผลงานเดือนแรกออกมาฟอร์มจะเป็นอย่างไร ถ้าผลประโยชน์ร่วมกันลงตัวก็อยู่ได้ระยะหนึ่ง แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ สว.ลากตั้งจะหมดวาระ 11 พฤษภาคมปีหน้า อย่าลืมว่าเศรษฐาได้เป็นนายกฯ ด้วยเสียง สว. หาก สว.ชุดนี้ไม่อยู่แล้ว หรือถ้ามีการเลือกนายกฯ ใหม่ไม่ว่าด้วยเหตุใด ใช้แค่เสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร สมการการเมืองจะเปลี่ยนไป

แต่เชื่อว่า ครม.เศรษฐา 1 น่าจะอยู่ถึงจน สว.หมดวาระเป็นอย่างน้อย หรือ 8-9 เดือนนับจากนี้ จุดที่เห็นกันว่าเป็นจุดแข็งของนายกฯ คนใหม่ก็คือความเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ รวดเร็วในการแก้ปัญหา ถ้าเดินหน้าเงินดิจิทัลได้ตามเป้าหมาย ลดราคาไฟฟ้า พลังงานตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ได้ และสามารถผลักดันให้เกิดกระบวนการเพื่อทำประชามตินำไปสู่การเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.เพื่อล้มรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจได้ แรงกระเพื่อมต่อรัฐบาลก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย

มติจากที่ประชุม ครม.นัดพิเศษตั้ง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเรียบร้อย ถือเป็นการคัมแบคสู่ถนนการเมืองในรอบ 17 ปีของหมอมิ้ง ที่ต้องขีดเส้นใต้จากบทสัมภาษณ์ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ น้อยก็คือ สไตล์การทำงานของเศรษฐา กับ ทักษิณ ชินวัตร คล้ายกัน นั่นก็คือ ทำงานเร็ว ทำงานเยอะ ซึ่งตนกลัวจะทำงานไม่ทันนายกฯ คนที่เป็นเหมือนมันสมองของรัฐบาลการันตีอย่างนี้จึงน่าติดตามผลงานจะออกมาสมกับที่ประชาชนตั้งความหวังหรือไม่

อย่างไรก็ตาม จากความคล้ายดังกล่าวและการเข้ามาเป็นนายกฯ ภายใต้การผลักดันของเพื่อไทย จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าเช่นนั้นจะเป็นการทำงานภายใต้ร่มเงาและการบัญชาการของทักษิณหรือไม่ เรื่องนี้เศรษฐาได้ตอบคำถามของนักข่าวทำเนียบฯ ว่า ขอเวลา 3-6 เดือนเพื่อบริหารงาน จากนั้นสื่อมวลชนค่อยมาถามอีกครั้ง ตนเชื่อว่า “มีอิสระทางด้านความคิด” ซึ่งไม่ใช่แค่ครอบครัวชินวัตร ถ้าใครมีข้อมูลดี ๆ หรือคำแนะนำดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็พร้อมรับฟัง

ต้องรอพิสูจน์กันว่านายกฯ คนที่ 30 จะแสดงความเป็นตัวตน โชว์ศักยภาพในการเป็นนักบริหารได้ขนาดไหน บทพิสูจน์แรกคงเป็นการแถลงนโยบายที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ก่อน ชิมลางกันด้วยเอกสารแถลงหลุดออกมา มีการตั้งคำถามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งคงจะถูกจี้ทั้งจากฝ่ายค้านและพวกลากตั้ง เช่นเดียวกันกับการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท หากเศรษฐากล้าที่จะลุกขึ้นชี้แจงทุกข้อสงสัยด้วยตัวเองโดยปราศจากองครักษ์พิทักษ์จากพรรคแกนนำรัฐบาล ก็น่าเชื่อว่ารัฐบาลผสม 11 พรรคน่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้

Back to top button