SABUY เหลวแหลก MGI เหลวไหล

จริง ๆ ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” ไม่อยากเม้าท์ถึงหุ้น SABUY ให้เปลืองพื้นที่เนื้อข่าว เพราะเหมือนเป็นการเฆี่ยนศพ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักอย่าง


จริง ๆ ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” ไม่อยากเม้าท์ถึงหุ้น SABUY ให้เปลืองพื้นที่เนื้อข่าว เพราะเหมือนเป็นการเฆี่ยนศพ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักอย่าง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเอ่ยถึงหุ้นนางงาม MGI ให้เสียเวลาทำมาหากิน เพราะทุกคนรู้ดีว่า ทั้งผู้บริหารและราคาหุ้นโอเวอร์รีแอคเหลือเกิน แต่ทันทีที่ทั้ง 2 คนจูบปากกันอย่างดูดดื่ม ก็เรียกเสียงวิจารณ์ในโลกโซเชียลเยอะแยะไปหมดเจ้าค่ะ

โดยเฉพาะในรายของ SABUY ภายใต้การนำทัพของ “ชูเกียรติ” ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นอดีตซีอีโอไปแล้วนั้น ก็มีการขุดดีลพิลึกออกมาตั้งคำถามกับทีมผู้บริหารปัจจุบันที่นำทัพโดย “วิรัช” อย่างดุเดือดเผ็ดมัน โดยเฉพาะดีลที่ อนุมัติอย่างเป็นทางการให้ “บ.สบาย ฟูลฟิลเมนท์” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% ขายหุ้นที่ถือยู่ใน “บ.ดับเบิ้ลเซเว่น” ซึ่งทำธุรกิจบริหารจัดการร้าน TRUE Shop ในห้างต่าง ๆ เช่น Big C, Tesco Lotus, Robinson ให้กับ COM7 น่ะซี

เนื่องจากการตัดสินใจขาย “บ.ดับเบิ้ลเซเว่น” ที่ตัวเองลงทุนไว้เป็นเงิน 1.36 พันล้าน ให้กับ COM7 ในช่วงปลายเดือน ม.ค. 67 มันทำให้ผู้คนงงกับดีลนี้พอสมควร เพราะวิธีชำระเงินของ COM7 เป็นการเอาหุ้น SABUY จำนวน 67.99 ล้านหุ้น ซึ่งตีราคาไว้หุ้นละ 5 บาท มาชำระแทน หรือคิดเป็นเงินราว ๆ 340 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่า เสี่ยยอมขาดทุนพันล้านเชียวเหรอ?

เมื่อมองลึกลงไปอีกนิดจะเห็นว่า วันนี้ราคาหุ้น SABUY เหลือแค่ประมาณ 2 บาท ก็จะทำให้มูลค่าที่มีจริงอยู่แค่ระดับ 150 ล้านบาทเท่านั้น และพาลให้คิดต่อไปว่า ไตรมาส 1 บริษัทต้องบันทึกการด้อยค่าของเงินลงทุนสูงถึง 1.20 พันล้านบาทไหมเอ่ย? ซึ่งประเด็นนี้เป็นเพียงหนังตัวอย่างที่ผู้คนเขาอยากรู้ว่า “วิรัช” จะอธิบายเรื่องนี้กับสังคมหุ้นอย่างไรพะย่ะค่ะ

ประเด็นถัดมาที่คล้ายคลึงกับข้างต้นคงเป็นเรื่องที่ SABUY เข้าไปลงทุนใน “บ.แพลท ฟินเซิร์ฟ” สูงเป็นจำนวน 1.13 พันล้านบาท ในปี 65 (ถือหุ้น 50%) แต่งบการเงินของบริษัทดังกล่าวโชว์รายได้ปี 64 ได้แค่จำนวน 4 ล้านบาท และมีตัวเลขขาดทุน 21 ล้านบาท และในปี 65 ไม่แจ้งงบแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ๆ สำหรับการเดินต่อจากนี้ เพราะมันอาจทำให้ผู้คนมองได้ว่า “ซื้อของเน่า” หรือเปล่า?

ที่แย่ไปกว่านั้นคงเป็นในรายของการเข้าไปลงทุนใน PTECH ในสัดส่วนสูงกว่า 70% ด้วยเงินจำนวน 2.28 พันล้านบาท และเป็นบริษัทในตลาดหุ้นที่ทำเช็คธนาคาร และบัตรพลาสติก ก็มีผลงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนกัน โดยในปี 65 แสดงกำไร 133 ล้านบาท แต่เป็นกำไรจากรายการพิเศษ 186 ล้านบาท ส่วนในปี 66 แสดงตัวเลขขาดทุน 17 ล้านบาทแบบนี้..มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไหม?

ทั้งหลายทั้งปวงหากสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ SABUY ได้ใช้เงินลงทุนไปกว่า 4.70 พันล้านบาท แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับคืนมาสุดแสนจะโหลยโท่ย และทำให้สังคมเรียกหาความรับผิดชอบจากผู้บริหาร เพราะถ้ามีการบันทึกตัวเลขด้อยค่าดังกล่าวเข้ามาเต็ม ๆ อาจหมายความว่า งบการเงินของบริษัทจะยับเยินจนร้องขอชีวิต และราคาหุ้นก็มีโอกาสดิ่งลงเหวไปอีกอย่างแน่นอน เดี๊ยนถึงอยากให้ผู้บริหารออกมาชี้แจงเพื่อทำให้สังคมหายคลางแคลงใจกันสียที!..อิอิอิ

ในเมื่อทุกคนเห็นโมเดลการเข้าลงทุนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็พอจะเดาเกมของ MGI ภายใต้การนำทัพของ “ณวัฒน์” ที่เข้าไปลงทุนในหุ้น SABUY เป็นจำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินสูงถึง 135 ล้านบาท โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 1.70% มันคุ้มค่าจริงไหม? เพราะทันทีที่ดีลดังกล่าวประกาศปุ๊บ ราคาหุ้นสบายก็ทิ้งตัวลงแรงทันทีน่ะซี

ที่น่าสนใจคือน้ำพริกนางงามที่ขายในตู้จะเวิร์กจริงเหรอ? ผนวกกับกระแสมิสแกรนด์ก็ไม่ปังเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งโดนคนในแวดวงตลาดหุ้นแอนตี้มากมาย “โมนิก้า” ถึงมองว่า ในอนาคตหุ้นตัวนี้เดินยากอย่างแน่นอน เพราะรายย่อยคงไม่ยื่นคอไปรับดาบพวกขาใหญ่ที่สถาปนาตัวเองเป็นผู้รู้ในตลาดหุ้นหรอกนะ โดยเฉพาะการเทรดของหุ้นที่อยู่บน PE 40 เท่าในภาวะตลาดหุ้น และเศรษฐกิจแบบนี้..มันเสี่ยงเกินไปไหม?..ลองไปคิดกันดูนะตัวเอง

Back to top button