สุดท้ายก็เละ

ความฝันที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,400 จุดก็กลายเป็นฝันค้างตอนกลางวันแสก ๆ อีกครั้ง เพราะแรงซื้อไม่มาตามนัด


ความฝันที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,400 จุดก็กลายเป็นฝันค้างตอนกลางวันแสก ๆ อีกครั้ง เพราะแรงซื้อไม่มาตามนัด แถมการเมืองก็ยังกล้าทำเรื่องอุบาทว์ไม่หยุดหย่อน ขณะที่เศรษฐกิจก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ และไม่ชัดเจนว่า จะเลิกตกท้องช้างเมื่อไหร่? รวมทั้งปัจจัยที่มาจากต่างประเทศ ก็มีลักษณะ “3 วันดี 4 วันไข้” เลยทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเหี่ยวเฉาอย่างที่เห็นนี้แหละค่ะ

ที่น่าสนใจคือ ปัจจัยภายในประเทศก็ติดขัดไปหมดทุกเรื่อง หลังรัฐบาล “เสี่ยนิด” มัวทำแต่เรื่องฟอกขาว (กินข้าว10 ปีโชว์ ตั้งทนายถุงขนม หรือแม้กระทั่งตระบัดสัตย์) ยังไม่รวมเรื่องกลุ่มทุนใหญ่กินรวบไฟฟ้า จนชาวบ้านก่นด่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่เผอิญฝั่งนายทุนใช้กฎหมายฟ้องปิดปาก เลยทำให้ผู้คนได้แต่บ่นพึมพำเบา ๆ เรื่องไฟแพง และเดี๊ยนเองก็เม้าท์ถึงเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่ไม่เห็นรัฐบาล และ กกพ. ออกมาทำ..อะไรเลยเจ้าค่ะ

ด้วยเหตุนี้ทำให้ “โมนิก้า” ต้องสำเหนียกมากขึ้นเมื่อเห็นดัชนีพุ่งขึ้นรอบใหม่ และอย่าหลงระเริงไปตามกระแสตลาดหุ้น เพราะปัจจัยภายในของเรายังกลวงโบ๋เหมือนที่ผ่านมา จึงทำให้แรงซื้อที่มีเข้ามาเป็นแค่การเก็งกำไรตามรอบ และการที่ดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,370.83 จุด ลบไป 7.87 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.84 หมื่นล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับแบบไม่บิดพลิ้วนะตัวเอง

เหมือนกับเรื่องราวของ EA กับ NEX ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อสยบข่าวลือไปเมื่อต้นสัปดาห์ แต่กลิ่นอายข่าวลือเรื่องแตกคอก็ยังมีให้ได้ยินเป็นระยะ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ซึ่งเหมือนกับที่เคยย้ำกับแฟนคลับให้ “wait & see” หลังกำไรไตรมาส 1 พลาดเป้าไปเยอะมาก แถมไตรมาส 2 ต้องลุ้นจะตีคืนมาได้เท่าไหร่ เดี๊ยนเลยไม่ติดใจที่หุ้นยังโดนถล่มไงล่ะคะ

เช่นเดียวกับในรายของ AWC มีลักษณะฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ถึงกลางเดือน เม.ย. แต่หลังจากนั้นกลับโดนรินขายออกมาเป็นระลอก จนล่าสุดหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 3.88 บาท ลบไป 0.16 บาท หรือลงไป 3.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 693 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของเกมหุ้นที่ไม่เหมือนเดิม และตัวถ่วงเรื่องนี้อาจมาจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ไม่เป็นตามเป้ากระมัง หุ้นถึงโค้งตัวลงต่อเนื่องพะย่ะค่ะ

ขนาดหุ้นปั๊มน้ำมันตัวท็อปอย่าง BCP ยังตกอยู่ในสถานการณ์ไซด์เวย์ดาวน์ ทั้งที่มีสตอรี่ดี ๆ เข้ามาซัพพอร์ตแบบนี้ “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องราคาหุ้นที่วิ่งรับข่าวหมดแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นจังหวะของการหาฐานที่เหมาะสม เพราะกำไรที่โชว์ออกมาก่อนหน้านี้ไม่เปรี้ยงปร้าง และทุกคนก็เห็นแล้วว่า หลายปั๊มเผชิญปัญหายอดขายลดลง ส่งผลให้การยืนปิดที่ระดับ39.25 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 4.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 448 ล้านบาท ยังเป็นจุดของการเฝ้าดูนะจ๊ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงน้องแบม BAM หลังราคาหุ้นเริ่มอ่อนตัวให้เห็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังง่อนแง่นแบบนี้ มันเหมือนเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อการปั๊มกำไร ทำให้นักเล่นชิงขายหุ้นลดความเสี่ยงออกมาก่อน เดี๊ยนเลยกังวลใจว่า การพยายามสู้แรงขายแต่ทำไม่สำเร็จ จนสุดท้ายลงมายืนปิดที่ระดับ 8.70 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 102 ล้านบาท คือการเตือนว่า หุ้นจะลงไปพักตัวที่ 8 บาทอีกหน อ๊ะป่าว?

ในเมื่อเม้าท์ถึงเรื่องฐานเดิมขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องขอเอ่ยถึงหุ้นติดล้อ TIDLOR ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะวงรอบของหุ้นตัวนี้ป้วนเปี้ยนไปมาที่ระดับ 20-22 บาทเป็นเวลาเกือบ 7 เดือน และการที่หุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 20.30 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 295 ล้านบาท น่าจะเป็นการย้ำหัวหมุดให้นักเล่นรู้ว่า ใกล้ถึงเวลาทยอยเก็บหุ้นเพื่อรอให้เด้งกลับช่วงสั้นหรือเปล่าตัวเอง

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น SABUY เพื่อชี้ให้เห็นแรงขายที่พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด้งขึ้นอย่างร้อนแรง แต่สุดท้ายก็มาจบลงด้วยการขายหนัก จนหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 1.81 บาท ลบไป 0.13 บาท หรือลงไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 92 ล้านบาท มันกลายเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้คำตอบอย่างเป็นทางการว่า “เสี่ยชัช” ยังลงทุนในหุ้นตัวนี้ต่อไหมเอ่ย?..อิอิอิ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button