อลเวงกงสี DUSIT

การขึ้นลงของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้คงยากที่จะคาดเดาอีกตามเคย เพราะตลาดหุ้นไทยขยับตัวไม่เป็นธรรมชาติเลยสักครั้ง


การขึ้นลงของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้คงยากที่จะคาดเดาอีกตามเคย เพราะตลาดหุ้นไทยขยับตัวไม่เป็นธรรมชาติเลยสักครั้ง ซึ่งดูได้จากประวัติเก่า ๆ ที่ดัชนีขึ้นงง ๆ หรือบางครั้งดัชนีก็ลงสวนตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน “โมนิก้า” เลยรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพที่เกิดขึ้นเหลือเกิน แถมความหวังที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,200 จุดอย่างแข็งแกร่ง..ไม่มีอยู่จริง! อีฉันจะหวังอะไรได้อีกล่ะคะ

ขนาดตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เด้งรับข่าวดี “สหรัฐฯ” กับ “อังกฤษ” เจรจาการค้าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ตลาดหุ้นไทยกลับเสียรังวัดหน้าตาเฉย พร้อมกับทรุดตัวลงไปถึง 1,195.86 จุด ก่อนจะตีกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,210.94 จุด บวกไป 4.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.09 หมื่นล้านบาทแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทำให้เหล่านักเล่น so sad พอสมควร เพราะนักเล่นส่วนใหญ่คาดหวังที่จะได้เห็นดัชนียืนเปิดสวย ๆ นาน ๆ แต่สุดท้ายกลับต้องลุ้นระทึกตลอดเวลาน่ะซี

เมาท์ถึงเรื่องน่าเศร้าใจขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” เลยถือโอกาสนี้เล่าถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับ “กงสี DUSITสักหน่อยดีกว่า! ขณะเดียวกันอีฉันจะได้ใช้จังหวะนี้ช่วยชี้แจงเรื่องของระบบล่มให้สาธารณชนรับรู้กันอย่างทั่วถึง หลังบริษัทได้ทำข่าวแจกกับสื่อมวลชนว่า การตัดสินใจเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน และไม่ได้เกิดจากปัญหาเทคนิคเพียงอย่างเดียว พร้อมกับยืนยันจะใช้ระบบ E-Meeting ในการประชุมใหม่วันที่ 28 พ.ค. 68 ต่อไป..ทราบแล้วบอกต่อด้วยนะคะ

ตรงนี้แหละที่ทำให้บรรดาขาเผือกหูผึ่งกันเป็นแถว เพราะคนส่วนใหญ่พากันเชื่อว่า การประชุมผู้ถือหุ้นล่มครั้งก่อน น่าจะมาจากเรื่องศึกในตระกูลเป็นหลัก พร้อมกับมีการหยิบยกชื่อ “บ.ชนัตถ์และลูก” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 1 ของหุ้น DUSIT ในสัดส่วน 49.74% ขึ้นมาเม้าท์มอยกันอีกครั้ง และอย่างที่รู้กันดีก็คือ โรงแรมนี้ก่อตั้งโดยท่านผู้หญิง “ชนัตถ์ ปิยะอุย” ซึ่งท่านผู้หญิงมีทายาททั้งหมด 3 คนคือ “ชนินทธ์ โทณวณิก” ตามมาด้วย “สินี เธียรประสิทธิ์” และคนสุดท้องคือ “สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค” (ภรรยา รมว.พลังาน) นะจะบอกให้

ว่ากันว่า..หลังจากท่านผู้หญิงเสียไปก็ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน “บ.ชนัตถ์และลูก” ถูกหารออกเป็น 3 ส่วนเท่ากัน โดยคนที่รับผิดชอบบริหารโรงแรมก็คือพี่ชาย ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากน้องสาวคนเล็ก และกิจการก็ดำเนินงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อถึงวันประชุมผู้ถือหุ้น 25 เม.ย. 68 ซึ่งทำให้ทุกคนได้เห็นรอยแตกร้าวของคนในกงสีอย่างชัดเจนเจ้าค่ะ

เนื่องจากการประชุมในวาระที่ 2 ซึ่งว่าด้วยเรื่องพิจารณาอนุมัติงบการเงินสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 67 ดันถูกโหวตคว่ำหน้าตาเฉย ทั้งที่งบดังกล่าวผ่านการรับรองจากผู้สอบบัญชี และกรรมการบริษัทเป็นที่เรียบร้อย เลยทำให้ทุกคนถึงบางอ้อทันทีว่า พี่น้องแตกกัน! ซึ่งเขาว่ากันว่า ครั้งนี้เป็นน้องสาวคนเล็กหันมาจับมือกับพี่สาวคนรอง เพราะพี่ชายบริหารงานไม่ตรงกับที่เคยพูดไว้น่ะซี

ประเด็นดังกล่าวถูกผูกโยงไปถึงการบริหารงานของ “ศุภจี” ซึ่งนั่งในตำแหน่งซีอีโอแบบเต็ม ๆ เพราะเป็นคนที่น่าจะรู้เรื่องความแตกแยกของสามพี่น้องดีสุด จึงกลายเป็นคนที่น่าจะอธิบายเรื่องราวในวันประชุมผู้ถือหุ้นใหม่ได้ดี ขณะที่ตัวประธานบริษัทอย่าง “อาสา” ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบสักนิดหนึ่ง หากวันประชุมผู้ถือหุ้นยังมีปัญหาเรื่องโหวตโนงบ ก็เท่ากับงบไม่ได้การรับรองแบบนี้..มันอาจทำให้หุ้นถูกแขวน SP ไงล่ะคะ

งานนี้บอกได้เลยว่า ผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งดังกล่าว จึงทำให้ “บมจ.เซ็นทรัล”  ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสัดส่วน 17.09% เลือกใช้วิธีงดออกเสียง เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด “โมนิก้า” ในฐานะคนที่เฝ้าติดตามเหตุการณ์ห่าง ๆ จึงทำได้แค่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมุมต่าง ๆ ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร?..ต้องให้ DUSIT แจงเองค่ะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button