
สาวไส้กันเอง!
ก่อนอื่นอีฉันขอยอมรับแบบตรง ๆ ว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นอะไรที่ยากต่อการคาดเดาเหลือเกิน เพราะสถานการณ์พลิกไปพลิกมาตลอด
ก่อนอื่นอีฉันขอยอมรับแบบตรง ๆ ว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นอะไรที่ยากต่อการคาดเดาเหลือเกิน เพราะสถานการณ์พลิกไปพลิกมาตลอด (ยิ่งกว่าลิเวอร์พูลนำ 2 ลูกแล้วถูกตีเสมอ ก่อนจะยิงชนะนาทีบาปเสียอีก) แถมหุ้นที่ขึ้นดีเมื่อวันก่อน ก็ถูกขายแบบไม่มีเยื่อใย ขณะเดียวจะเห็นว่า นักลงทุนต่างชาติก็ตั้งป้อมสาดหุ้นอย่างหนักหน่วง ส่วนกลุ่มกองทุนที่น่าจะเป็นกำลังหลัก ก็ซื้อหุ้นแบบเสียไม่ได้แบบนี้..ก็ว้าวุ่นซิคะ
ฉะนั้นการที่ดัชนีแกว่งตัวไปมาตลอดทั้งวัน ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,248.03 จุด ลบไป 3.23 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.68 หมื่นล้านบาท โดยโมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยโน้มเอียงไปในทางแกว่งตัวลงมากกว่าปรับตัวขึ้น แม้จะมีข่าวดีเรื่องการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสซัพพอร์ตในมุมของความเชื่อที่ว่า หลังจากจัดงานตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นเป็นประจำ แต่สถานการณ์ตลาดหุ้นตอนนี้..อาจไม่เป็นเหมือนที่คิดก็ได้นะจ๊ะ
ฉะนั้นอย่าหาว่า “โมนิก้า” มองโลกในแง่ร้ายอีกเลย เพราะตัวแปรหลายอย่างเปลี่ยนไปจากที่คิด แถมดัชนีก็หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา 1,250 จุดลงไปแบบนี้ ในเชิงเทคนิคเขาเรียกอาการแบบนี้ว่า “เสียศูนย์” จึงต้องไปดูกันว่า เส้นแนวรับ 25 วันตรงบริเวณ 1,240 จุดจะเอาอยู่ไหม? หลังหุ้นใหญ่เริ่มถูกขายรอบใหม่เป็นระลอก ซึ่งทำให้ตัวอีฉันรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินพะยะค่ะ
เหมือนกับกรณีของศึกสายเลือดของตระกูลที่บริหารงาน DUSIT ก็เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้สังคมได้เรียนรู้ว่า “เงินทองไม่เข้าใครออกใคร” และนำไปสู่การงัดข้อระหว่างพี่ชาย “ชนินทธ์” กับน้องสาวคนรองและคนเล็กอย่าง “สินี” และ “สุนงค์” จนทำให้หุ้นเกือบถูก SP เพราะผู้ถือหุ้นไม่รับรองงบ และส่งงบไตรมาส 1 ไม่ทัน ซึ่งเรื่องราวทำท่าจะจบลงด้วยดี เมื่อมีข่าวแว่ว ๆ ว่า พวกพี่น้องร่วมสายเลือดได้เปิดอกคุยกันแล้วเจ้าค่ะ
สุดท้ายมาเฉลยเมื่อวานนี้ว่า สามพี่น้องสะบั้นความสัมพันธ์ที่เคยคลานตามกันมาอย่างเป็นทางการ หลัง DUSIT แจ้งข่าวต่อ ตลท. ว่า เตรียมเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อทำการปลด “ชนินทธ์” พ้นจากการเป็นกรรมการ ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้พี่ชายที่แสนดีต้องรีบออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวแบบเร่งด่วน พร้อมกับสาธยายปมขัดแย้งเกิดจากการแบ่งมรดกภายใต้ตระกูล ซึ่งทุกคนก็ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวด้วยความเต็มใจจ้า
โดยมีการตกลงกันว่า พี่ชายได้หุ้นทั้งหมดของ “บ.ชนัตถ์และลูก” (ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT) ส่วนน้องสาวอีก 2 คนรับในส่วนของ “บ.ปิยะศิริ” (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ “บ.ธนจิรัง” (ดำเนินธุรกิจพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) แต่ภายหลังน้องสาวเปลี่ยนใจ พี่ชายเลยถึงบางอ้อว่า คงเป็นผลมาจากโครงการ “Dusit Residences” มียอดรอโอนสูงถึง 1.60 หมื่นล้าน และจะทยอยรับรู้ในปี 69 ซึ่งเป็นยอดขายที่ดีกว่าคิดไว้นะออเจ้า
งานนี้เลยทำให้พี่ชายที่แสนดีประกาศกร้าวว่า แม้จะถูกโหวตออกจากการเป็นกรรมการ แต่จะทำทุกวิธีทางเพื่อกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงาน พร้อมกับมีการแซะต่อในทำนองที่ว่า “ผมจะไม่ยอมให้ดุสิตธานีตกอยู่ในมือกลุ่มเซ็นทรัล” แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่พูดตัดตอนความจริงเกินไปหน่อย เพราะกลุ่มนี้เข้ามาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมเพิ่งโวยวายตอนนี้ล่ะคุณพี่!
สุดท้ายก็เป็นดังที่ “โมนิก้า” คิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เพราะทางกลุ่มเซ็นทรัลที่เข้ามาร่วมทุนในโครงการดังกล่าวภายใต้การดำเนินงานของ CPN ก็ออกมาตอกหน้าทันที และทำการร่อนจดหมายชี้แจงว่า เขานำเงินมาลงทุนตั้งแต่ปี 60 ซึ่งทำอย่างตรงไปตรงมา แถมไม่มีอำนาจควบคุม เพราะต้องการปล่อยให้กลุ่มดุสิตธานีบริหารงานกันเอาเองแบบนี้ อีฉันมองเป็นการสาวไส้ให้คนวงนอกได้เห็นว่า “ใครพูดจริง..ใครพูดเท็จ” และต้องรอดูน้องสาวทั้งสองคนจะออกมาชี้แจงอย่างไร? โดยสังคมจะเป็นคนตัดสินเองจ้า!
โมนิก้าและทีมงาน