M เติบโตต่อเนื่อง

M คือหนึ่งในผู้นำธุรกิจเครือข่ายร้านอาหารที่มีศักยภาพที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยอดเยี่ยม มีกำลังการผลิตเพียงพอต่อที่จะรองรับแผนการขยายสาขาไปอีกอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า และสามารถรองรับได้ถึง 1,000 สาขา เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มี 658 สาขา ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561


คุณค่าบริษัท

บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M คือหนึ่งในผู้นำธุรกิจเครือข่ายร้านอาหารที่มีศักยภาพที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยอดเยี่ยม มีกำลังการผลิตเพียงพอต่อที่จะรองรับแผนการขยายสาขาไปอีกอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า และสามารถรองรับได้ถึง 1,000 สาขา เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มี 658 สาขา ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561

สำหรับครัวกลางทุก ๆ สายการผลิตนั้นเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ มาจากการพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์อันยาวนานของบริษัท (56 ปี ในธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร) ซึ่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ สิ่งสำคัญมองเห็นโอกาสในการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นไป เพราะอนาคตอาจสามารถเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อสามารถลดข้อผิดพลาดและทำให้ต้นทุนลดลง

ขณะที่ M-Senko Logistics (บริษัทร่วมทุน 50% กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์เบอร์ 2 จากญี่ปุ่น, Senko) มีจุดประสงค์จะให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรได้แก่ บริการ การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง การนำเข้า-ส่งออก และการซื้อขายสินค้า แต่ในช่วงเริ่มต้นจะยังมุ่งเน้นไปที่การให้บริการขนส่งแบบ Cold Chain

ส่วนอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยระบบโลจิสติกส์ทั้งหมดของ  M-Senko ตั้งอยู่บนถนนบางนา – ตราดกิโลเมตรที่ 21 โดยครอบคลุมพื้นที่ 53,000 ตารางเมตร (ตั้งอยู่ถัดจาก CK5) M-Senko เริ่มเปิดให้บริการขนส่งในเดือน ก.ค. 2561 โดยเริ่มจาก M ก่อน ซึ่งทางผู้บริหารแนะว่าต้นทุนโลจิสติกส์ของ M นั้นเห็นการปรับตัวลดลงไป 10% ในปีหน้า M-Senko จะเดินหน้าหาลูกค้าภายนอกอย่างจริงจังหลังจากบริษัทเตรียมเปิดให้บริการแบบครบวงจรได้ในเดือน ส.ค. 2562 บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าอื่นคิดเป็น 75% (25% สำหรับ M) โดยตั้งเป้ารายได้ของ M-Senko ที่ 800 ล้านบาทในปี 2562 และ 1.8 พันล้านบาทภายในปี 2564

ทางด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4,305.09 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,128.31 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 675.80 ล้านบาท หรือ 0.73 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 651.21 ล้านบาท หรือ 0.71 บาทต่อหุ้น

ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12,848.37 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 12,227.81 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,967.16 ล้านบาท หรือ 2.14 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,879.34 ล้านบาท หรือ 2.05 บาทต่อหุ้น

ผลดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์มองแนวโน้มกำไรจะโตต่อเนื่องและอาจทำจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4/2561 เพราะเป็น High Season ของธุรกิจ และยังมีแผนเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องและจะเปิดค่อนข้างมากในไตรมาส 4/2561 รวมถึงคาดจะไม่มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษมากเหมือนในปีก่อน

ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ไว้ที่ 2,634 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) และคาดกำไรสุทธิปี 2562 จะโตต่อเนื่อง

ประกอบกับนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2562 ที่ 86 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นางยุพิน ธีระโกเมน 182,396,802 หุ้น 19.81%
  2. นางยุพิน ธีระโกเมน ในฐานะผู้จัดการมรดกของ นายสมนึก หาญจิตต์เกษม 164,087,977 หุ้น 17.82%
  3. นายสมชาย หาญจิตต์เกษม 147,494,812 หุ้น 16.02%
  4. นายฤทธิ์ ธีระโกเมน 123,059,333 หุ้น 13.36%
  5. มูลนิธิ ป้าทองคำ เอ็มเค 31,265,983 หุ้น 3.40%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  2. นายสมชาย หาญจิตต์เกษม กรรมการ
  3. นายสมชาย พิพิธวิจิตรกร กรรมการ
  4. นายประวิทย์ ตันติวศินชัย กรรมการ
  5. นายอรรณพ ตันละมัย กรรมการอิสระ, ประธานกรรมการตรวจสอบ

Back to top button