“ดูโฮม” เตรียมเคาะราคา IPO สัปดาห์หน้า เล็งเข้าเทรดไตรมาส 3

“ดูโฮม" เตรียมเคาะราคา IPO สัปดาห์หน้า เล็งเข้าเทรดไตรมาส 3 โดยมีบล.กสิกรไทย และบล.ภัทร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย


นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการนำ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า หลังจากที่ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) นั้น ปัจจุบันได้รับการอนุญาตให้เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก และอยู่ระหว่างการเข้าพบนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเพื่อให้ข้อมูลก่อนกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะกำหนดราคา IPO ในวันที่ 23 ก.ค. นี้ โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อย่อ “DOHOME” ในหมวดพาณิชย์ (Commerce) ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้

ทั้งนี้ DOHOME มีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนขยายธุรกิจ พัฒนาระบบไอที ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีบล.กสิกรไทย  และบล.ภัทร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ด้าน นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บล.ภัทร หนึ่งในที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การทำ IPO ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและการสร้างการเติบโตของ DOHOME ในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก และให้บริการวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร และถือเป็นโอกาสอันดีของนักลงทุนที่จะมีส่วนร่วมเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับ DOHOME ภายใต้การบริหารจัดการของผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 36 ปี

สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ จะมีการจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 465,040,00 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยประกอบไปด้วย การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 456,160,00 หุ้น และการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 8,880,000 หุ้น นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 56,160,000 หุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 521,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 28.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายครั้งนี้ (กรณีมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญส่วนเกินทั้งจำนวน)

ทั้งนี้ การจัดสรรหุ้นส่วนเกินมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นที่เสนอขายครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่หุ้นของ DOHOME เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก โดยเป็นการให้สิทธิแก่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (หนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย) สามารถช่วยดำเนินการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้น ในช่วงที่สภาวะตลาดอาจมีความผันผวนซึ่งอาจมีโอกาสทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาเสนอขายได้

ด้าน นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา กรรมการผู้จัดการ DOHOME กล่าวว่า DOHOME ดำเนินธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร (One-stop Home Products Destination) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ มีความหลากหลายและครบถ้วน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 9 สาขา ได้แก่ อุบลราชธานี นครราชสีมา รังสิต ขอนแก่น อุดรธานี พระราม 2 บางบัวทอง เชียงใหม่ และบางนา โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้าประมาณ 35,000 – 65,000 ตารางเมตรต่อสาขา รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยแบ่งสินค้าที่จำหน่ายออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มวัสดุซ่อมแซม และกลุ่มวัสดุตกแต่ง รวมรายการสินค้ามากกว่า 135,000 รายการ (SKUs)

นอกจากนี้ DOHOME ยังจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของ DOHOME (House Brand) มากกว่า 20,000 รายการ (SKUs)

ด้าน นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร DOHOME กล่าวว่า DOHOME มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งโดยในปี 2561 มีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุก่อสร้างประมาณ 46-49% สัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุซ่อมแซมประมาณ 35-38% และสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุตกแต่งประมาณ 15-17%

นอกจากนี้ในไตรมาส 1/62 DOHOME มีรายได้รวม 4,980.24 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 246.68 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 4,940.12 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 185.63 ล้านบาท เนื่องจากมีสัดส่วนการขายสินค้า House Brand เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้า House Brand ในปี 2559-2561 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 11.4% 14.3% และ 14.4% ของรายได้จากการขายและค่าบริการตามลำดับ โดยในไตรมาส 1/62 มีสัดส่วนอยู่ที่ 14.5% พร้อมวางเป้าหมายภายในปี 2565 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้า House Brand เป็น 20% ของรายได้จากการขายและค่าบริการรวม

Back to top button