ECF โกยรายได้ 6 เดือนเฉียด 600 ลบ. ส่งซิกครึ่งปีหลังออดอร์ทะลักหนุนผลงานโตเด่น

ECF โกยรายได้ 6 เดือนเฉียด 600 ลบ. ส่งซิกครึ่งปีหลังออดอร์ทะลักหนุนผลงานโตเด่น


นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งแรกปี 2563 ว่า บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่  587.69 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม  664.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.30 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.37 ล้านบาท หรือลดลง 46.08%

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2563 บริษัทมีรายได้รวม 293.33 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 305.19  ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิเล็กน้อย 1.82  ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.43 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  สำหรับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ เนื่องจากกลุ่มร้านค้าประเภท Hypermarket อาทิ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี โฮมโปร ฯลฯ ที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ จำเป็นต้องปิดการขายผ่านสาขาตามคำสั่งของรัฐบาล

ขณะที่ลูกค้าต่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลมีคำสั่งล็อคดาวน์ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถส่งออกสินค้าได้  อีกทั้งช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ  อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ ลดการพึ่งพากลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น ส่งผลให้ยอดขายการส่งออกเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 2 และขณะนี้ทางบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าทั้งจากญี่ปุ่น อินเดีย จีน และอเมริกาอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้

สำหรับผลขาดทุนเล็กน้อยของไตรมาส 2/2563 ที่เกิดขึ้นนั้น แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะสามารถวางแผนควบคุมค่าใช้จ่าย และบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้จากต้นทุนการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง แต่ทั้งนี้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ลดลง ซึ่งบริษัทได้รับผลกระทบนี้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนของค่าใช้จ่ายที่บริษัทสามารถควบคุมและบริหารให้ลดลงได้

สำหรับทิศทางธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น โดยบริษัทมีแผนการขยายตลาดในประเทศ มุ่งเน้นกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่  อาทิ จำหน่ายผ่านออนไลน์ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศพร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศผ่านลูกค้าของบริษัท รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้า

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ยังสามารถเติบโตได้ดีในไตรมาส 3/63 โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าประเทศอินเดีย จีน อเมริกา ญี่ปุ่น มีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามามากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้  ส่งผลให้บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ  ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 63% และในประเทศอยู่ที่ 37%

ด้านธุรกิจพลังงานทดแทนมีแนวโน้มดี เนื่องจากเริ่มรับรู้รายได้ในเชิงพาณิชย์แล้ว โดยในปีนี้คาดว่าจะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าภายในปีนี้ จะคาดว่าจะสามารถรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 10-12% และรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในช่วงใกล้เคียงกันกับปีก่อนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

Back to top button