MINT กางแผนรับมือความเสี่ยง พร้อมเดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง หวังพลิกฟื้นผลงานปี 64

MINT กางแผนรับมือความเสี่ยง พร้อมเดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง หวังพลิกฟื้นผลงานปี 64


บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/63 ซึ่งมีการฟื้นตัวจากผลขาดทุนสุทธิที่มากที่สุดในประวัติการณ์จำนวน 8.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2/63 ท่ามกลางการระบาดของโรค COVID-19 โดย MINT มีผลขาดทุนสุทธิที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่จำนวน 5.6 พันล้านบาทในไตรมาส 3/63

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานบนพื้นฐานการรายงานเดียวกัน (จากการดำเนินงานและไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16) บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 4.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3/63 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 6.7 พันล้านบาทในไตรมาส 2/63 ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 1.41 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นได้อย่างเหมาะสมเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19

ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้ MINT ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึงการลดค่าเช่าของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ลดการใช้จ่ายในการลงทุน และติดตามฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด

ด้าน นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า MINT มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อมนุษยธรรมด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 เราจึงได้เริ่มเห็นการฟื้นตัวในแต่ละธุรกิจและภูมิภาคในอัตราที่ช้าเร็วต่างกันไป โดยทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดมีผลการดำเนินงานที่พลิกฟื้น และสามารถสร้างผลกำไรในระดับกำไรสุทธิในไตรมาส 3/63 โดยกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนมีผลกำไรที่สูงที่สุด

ส่วนไมเนอร์ โฮเทลส์มีการฟื้นตัวที่ดีในธุรกิจโรงแรมในประเทศออสเตรเลียและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ซึ่งทั้งสองธุรกิจดังกล่าวมี EBITDA ที่เป็นบวก (ไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16) ในไตรมาส 3/63 ส่วนในทวีปยุโรป แม้ว่าการฟื้นตัวจะช้ากว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ จากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้น แต่เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุด ทั้งการฟื้นตัวของรายได้ EBITDA และกำไรสุทธิ ทั้งนี้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการที่ผลการดำเนินงานจะกลับมาสู่ระดับปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมการโรงแรม แต่เราได้เห็นถึงสัญญาณเชิงบวกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความน่าจะเป็นไปได้ในการค้นพบวัคซีน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารสามารถช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยผลการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ด พลิกฟื้นกลับมามีกำไรสุทธิจำนวน 208 ล้านบาทในไตรมาส 3/63 จากผลขาดทุนสุทธิใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 207 ล้านบาท ในไตรมาส 3/62 โดยการฟื้นตัวส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน ซึ่งมียอดขายต่อร้านเดิมกลับมาเติบโตเป็นบวกในอัตราร้อยละ 3 และยอดขายโดยรวมทุกสาขาเติบโตร้อยละ 8.1

นอกจากนี้ ธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและซื้อกลับบ้านที่แข็งแกร่งในประเทศไทย การรวมการดำเนินงานของแบรนด์บอนชอน รวมถึงมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายเชิงรุกในทุกภูมิภาค ซึ่งบริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/62 ส่งผลให้ไมเนอร์ ฟู้ดมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นในไตรมาส 3/63 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยการเริ่มทะยอยกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมในช่วงไตรมาส 3/63 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดให้บริการโรงแรมแล้วกว่าร้อยละ 80 ของโรงแรมทั้งหมด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 ส่งผลให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของของโรงแรมทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากเพียงร้อยละ 9 ในไตรมาส 2/63 เป็นร้อยละ 32 ในไตรมาส 3/63 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนฟื้นตัว โดยติดลบลดลงจากร้อยละ 91 ในไตรมาส 2/63 เป็นร้อยละ 63 ในไตรมาส 3/63

ทั้งนี้ โรงแรมในประเทศออสเตรเลียมีการฟื้นตัวที่เร็วที่สุด ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่ลดลงเพียงร้อยละ 32 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว และมี EBITDA ที่เป็นบวกในช่วงไตรมาสดังกล่าว ส่วนโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์มีสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่เปิดให้บริการโรงแรมอีกครั้งเมื่อปลายเดือนกันยายน โดยโรงแรมอนันตรา คิฮาวาห์ มัลดีฟส์ วิลล่าส์ ซึ่งเป็นโรงแรมต้นแบบของบริษัท มีอัตราการเข้าพักถึงเกือบร้อยละ 70 ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว อีกทั้ง เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้น โดยกลับมามีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานเป็นบวกในไตรมาส 3/63 เทียบกับกำไรขั้นต้นที่ติดลบในไตรมาส 2/63

อีกทั้ง การเจรจาต่อรองของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปกับผู้ให้เช่าช่วยให้สามารถลดค่าเช่าและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้ถึง 90 ล้านยูโรสำหรับทั้งปี 2563 นอกจากนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงขยายเครือโรงแรมอย่างระมัดระวัง ด้วยการเปิดตัวโรงแรมใหม่ 12 แห่งในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง Anantara Maia Seychelles สุดหรู และโรงแรมระดับบน 7 แห่งในทวีปยุโรป ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในนามกลุ่มโรงแรม Boscolo อันทรงเกียรติ อีกทั้ง ไมเนอร์ โฮเทลส์มีแผนจะเปิดตัว “รักษ” ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4/63

นอกจากนี้ ยอดขายโครงการที่อยู่อาศัย และการฟื้นตัวของอนันตรา เวเคชั่น คลับ ส่งผลให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมมี EBITDA ที่เป็นบวกในช่วงไตรมาสดังกล่าว และเป็นส่วนช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของไมเนอร์ โฮเทลส์ โดยผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจดังกล่าวช่วยลดทอนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ต่อธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท ซึ่งได้แก่ โรงแรมในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย

ทั้งนี้ ด้วยมาตรการการลดค่าใช้จ่ายเชิงรุก ควบคู่กับการลดค่าเช่า ซึ่งไมเนอร์ โฮเทลส์สามารถลดค่าใช้จ่ายรวมลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562  ส่งผลให้ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน (ไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16)  ลดลงจาก 6.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 4.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 3/63

โดยภาพรวม ผลการดำเนินงานของ MINT ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละเดือน จากผลขาดทุนสูงสุดที่จำนวน 2.7 พันล้านบาทในเดือนเมษายน เป็น 1.4 ล้านบาทในเดือนกันยายน และด้วยการดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง อัตราการใช้เงินสดของ MINT ในแต่ละเดือน ซึ่งคำนวณจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เงินชำระคืนหนี้สินตามสัญญาเช่า และเงินจ่ายสำหรับการลงทุน ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากเฉลี่ย 2.9 พันล้านบาทต่อเดือนในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 1.5 พันล้านบาทต่อเดือน ในไตรมาส 3/63

อย่างไรก็ดี ตลอดช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ MINT ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องและการจัดการฐานะทางการเงิน ณ สิ้นเดือนตุลาคม MINT มีเงินสดในมือประมาณ 3 หมื่นล้านบาทและวงเงินสินเชื่อจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ แผนการระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จของ MINT ซึ่งประกอบไปด้วยการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ การออกหุ้นเพิ่มทุน และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ฐานส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT เพิ่มขึ้นเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/63

นอกจากนี้ MINT มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนเพิ่มอีกจำนวน 5 พันล้านบาทจากการที่ผู้ถือสิทธิใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยแผนการดังกล่าวนี้ช่วยลดผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ MINT เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 1.63 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/63 เป็น 1.67 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3/63

อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ไตรมาส 4/63 MINT ได้มองไปถึงปี 2564 และเริ่มวางแผนรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 โดยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความผันผวนแตกต่างกันไปตามมาตรการการปิดประเทศหรือข้อจำกัดของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม MINT คาดว่าแนวโน้มทางธุรกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ได้พยายามลดและควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส และด้วยโอกาสความเป็นไปได้ในการค้นพบวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนและผันผวนมาก ด้วยเหตุนี้ MINT จึงยังคงดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้อย่างระมัดระวัง

โดย MINT จะยังคงเพิ่มและแสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมรายแรกๆ ที่เข้าร่วมเป็นโรงแรมสำหรับกักตัวทางเลือกในประเทศไทย ไปจนถึงการขยายตลาดภายในประเทศ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านดิจิทัลและบริการจัดส่งอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด ทั้งนี้ MINT ยังคงดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายและลดการลงทุนอย่างเข้มงวดในทั้งสามธุรกิจและทุกภูมิภาค นอกจากนี้ MINT ยังคงติดตามฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด โดย MINT คาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับและผลกำไรที่เป็นบวกในปี 2564 ด้วยความเป็นไปได้ของวัคซีนและแผนกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ของบริษัท

“บริษัทอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งสิ่งสำคัญคือการบริการจัดการผลกำไรและขาดทุน กระแสเงินสด และฐานะทางการเงินของเรา และด้วยธุรกิจของเราที่กระจายอยู่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 เราจึงยังคงต้องปรับตัว แต่ยังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจของเราไปข้างหน้า การลดกระแสเงินสดจ่ายและการรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุดยังคงเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และเรายังคงติดตามดูแลฐานะทางการเงินของเราอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

โดยพื้นฐานแล้ว ธุรกิจต่างๆของเราอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรม ด้วยสินทรัพย์หลักในทำเลที่ดี ซึ่งส่งผลให้เกิดค่าความนิยมของลูกค้า ความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า ชื่อเสียง ทรัพย์สินทางปัญญาและคุณค่าของแบรนด์ที่เป็นเลิศ บริษัทมีเครือโรงแรมที่มีคุณภาพ ซึ่งยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้ ดังนั้น MINT จะสามารถดำเนินการตามกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของเราต่อไปได้โดยง่าย และเช่นเคย ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียและพนักงานของเราทุกคนที่ให้การสนับสนุนบริษัทเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ เราจะมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราทุกคนจะก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้และกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปได้ด้วยกัน”

Back to top button