เย้ยตลาด ?

* แรงซื้อที่ไหลเข้ามาต่อเนื่องทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปเต็มตัว และยังทำให้การเดินหน้าขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมกลายเป็นเรื่องยากในทันที เพราะแรงซื้อที่ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ล้วนเกิดจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนสถาบัน จนบรรยากาศการลงทุนผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งนำมาสู่การปรับเปลี่ยนมาตรการต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสมไงล่ะค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

* แรงซื้อที่ไหลเข้ามาต่อเนื่องทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปเต็มตัว และยังทำให้การเดินหน้าขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมกลายเป็นเรื่องยากในทันที เพราะแรงซื้อที่ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ล้วนเกิดจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนสถาบัน จนบรรยากาศการลงทุนผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งนำมาสู่การปรับเปลี่ยนมาตรการต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสมไงล่ะค่ะ

* นั่นหมายความว่า วันนี้ผู้เล่นกำลังยืนอยู่บนความเสี่ยง และทางเดียวที่จะป้องกันความเสี่ยงได้ดีสุดคือ “รู้เขา รู้เรา” และเรื่องนี้ก็เชื่อมโยงกับในช่วงที่ดัชนีขึ้นไปยืนบริเวณ 1,543 จุด บวกไปประมาณ 6.83 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นร้อน DELTA มากถึง 7 จุด และถ้าคิดย้อนกลับจะเห็นว่า หากหุ้นนอกคอกไม่บวกเว่อร์ ดัชนีก็คงดำดิ่งลงแดนลบไปตั้งแต่หัววันแล้วพะยะค่ะ

* วันนี้ถึงต้องถามใจแมงเม่าว่า การทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของดัชนี ก่อนจะลงเอยด้วยการลงมาปิดที่ 1,536.49 จุด บวกไป 0.05 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.38 หมื่นล้านบาท มีนัยสำคัญขนาดไหน ? ผสานกับข่าวที่เม้าท์กันให้แซ่ดว่า ก๊วนไต้หวันใช้ยุทธการโยนหุ้นกันอย่างสนุกมือ เหมือนเป็นการหยามฝ่ายตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ขั้นรุนแรงหรือเปล่า ? คงต้องถามใจเฮีย “ภากร” กันเอาเองนะคะ

* ประเด็นนี้ทำให้ “โมนิก้า” ไม่มีความจำเป็นต้องลงลึกในรายละเอียดของหุ้นร้อนมากนัก เพราะการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดบริเวณ 748 บาท บวกไป 30 บาท หรือขึ้นไป 4.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.87 พันล้านบาท เหมือนเป็นการท้าทายอำนาจในตัวของมันเองอยู่แล้ว รวมทั้งการที่กลุ่มผู้บริหารค่อนข้างบ้องแบ๊ว ไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้หุ้นคึกเป็นม้าดีดกะโหลก เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดว่า หุ้นขึ้นแบบไร้พื้นฐานนะนายจ๋า !

* สุดจัดปลัดบอก “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นบัตรเครดิต KTC หลังเล่นเกมโหดแบบจัดหนัก เพราะมีทั้งลากขึ้นไปถึงระดับ 90.25 บาท ก่อนจะทำการสาดหุ้นออกมาเรื่อย ๆ จนลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 76.25 บาท ก่อนจะเด้งกลับเบา ๆ ด้วยการยืนปิดที่ 79 บาท บวกไป 2.25 บาท หรือขึ้นไป 2.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.55 พันล้านบาท กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เดี๊ยนอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ถูกเจ้าค่ะ

* ผิดกับในรายของ KERRY อย่างชัดเจน เพราะรายนี้มีเรื่องราวที่บอกให้คนทั่วไปรู้ว่า แนวทางการเติบโตของบริษัทค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่โควิดระบาดระลอกใหม่ ยิ่งกระตุ้นให้ธุรกิจขนส่งโชติช่วงชัชวาล “โมนิก้า” เลยไม่มีอะไรติดใจเมื่อเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 57.75 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 3.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.46 พันล้านบาทนะจ๊ะ

* เรื่องดังกล่าวทำให้เดี๊ยนต้องหันมามองหุ้น NEX เพื่อชี้ให้เห็นอาการดี๊ด๊ามาเร็วกว่ากำหนด หุ้นถึงขึ้นมายืนปิดที่ 5.65 บาท บวกไป 1.07 บาท หรือขึ้น 23.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 530 ล้านบาทแบบชิล ๆ และเรื่องนี้ทำให้หลายคนงงเป็นไก่ตาแตก เพราะตอนนี้ยังอยู่ในห้วงของการรอคอยวันประมูลรถเมล์ไฟฟ้าที่ชัดเจน แต่หุ้นดันวิ่งแรงจนเหลือแก๊ปให้เล่นนิดเดียวแบบนี้..เดี๊ยนคงบอกได้ว่า เอาที่สบายใจแล้วกัน..อิอิอิ

* เช่นเดียวกับการวิ่งของหุ้นขายยาง NER จนขึ้นมาปิดที่ระดับ 4.52 บาท บวกไป 0.22 บาท หรือขึ้นไป 5.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 558 ล้านบาท “โมนิก้า” ออกตัวแรงได้ทันทีว่า ยังมีแก๊ปให้เล่นอีกบานตะไท โดยเฉพาะในมุมการเติบโตของรายได้และกำไรในปี 64 น่าจะเด็ดสะระตี่ หรือแม้กระทั่งมองในมุมของค่า P/E 12 เท่า ก็ยังลงทุนแบบจัดเต็มได้อย่างสบายใจ..ไม่เชื่อลองถาม “เสี่ยชู” ดูก็ได้นะคะ

* คล้ายกับกรณีของหุ้นแม่ลูกแห่งการเทิร์นอะราวด์อย่าง AI กับ AIE กลับมาเป็นขวัญใจแมงเม่าอย่างเต็มตัวอีกครั้ง เพราะเมื่อดูจากราคาปาล์มที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ผสานกับการล้างบ้านเมื่อปีก่อนของหุ้นลูก เพื่อเตรียมจ่ายปันผลอย่างเป็นทางการ “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่หุ้นแม่ (รับเต็ม ๆ) ขึ้นมาปิดที่ 2.30 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 5.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 185 ล้านบาท ส่วนหุ้นลูกเคาะขวาเบา ๆ ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 0.89 บาท บวกไป 0.03 บาท หรือขึ้นไป 3.50 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35 ล้านบาท โดยทั้งคู่ทำราคาสูงสุดในรอบปีแบบนี้..เล่นยาวไปเลยคุณพี่ !

Back to top button