PTTGC มั่นใจปี 64 สดใส เดินหน้า 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจโตยั่งยืน

PTTGC มั่นใจปี 64 สดใส เดินหน้า 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจโตยั่งยืน


นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC นำเสนอข้อมูลผลประกอบการงวดปี 2563 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ว่า ในช่วงปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 3.26 แสนล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบจากปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 4.09 แสนล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายปรับตัวเติบโตขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง

ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมผลกระทบจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน และรายการพิเศษ  (Adjusted EBITDA) ในปี 2563 อยู่ที่ 28,579 ล้านบาท ลดลง 1% จากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 28,900 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสิ้นปี 2563 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 4.89 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.2562 ที่มีอยู่ 4.53 แสนล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.33 เท่า และเงินสดในมือ 6.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 ด้วยนโยบาย “แข็งแกร่งจากภายใน” พร้อมเร่งเดินหน้าและยกระดับกลยุทธ์ 3 Steps ประกอบด้วย 1.) Step Change เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยเสริมความแข่งแกร่งภายในของบริษัท โดยจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตที่ดีขึ้น ความปลอดภัยในการผลิตดีขึ้น รวมถึงการหาตลาดอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ส่วน  2.) Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่ม High Value Business (HVB) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโต และสามารถทำกำไรในระดับสูง โดยการ M&A รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่โดยใช้ Corporate Venture Capital : CVC เน้นลงทุนธุรกิจปลายน้ำที่ดำเนินกิจการอยู่แล้ว เพื่อจะได้มีการรับรู้รายได้และกำไรทันที พร้อมการร่วมมือทางธุรกิจ และการต่อยอดธุรกิจเดิม  เพื่อเป็นการปูทางสำหรับการลงทุนในอนาคต รวมทั้ง 3.) Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ

ทั้งนี้ในปี 2564 มองว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นจากการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 และส่งผลดีต่อราคาทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มีต้นทุนเป็นราคาแก๊สมีเทนเคลื่อนไหวในระดับคงที่ ทำให้เกิดส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) และหนุนอัตราการทำกำไรดีขึ้น ซึ่งปัจจัยบวกจากภาวะตลาดโลกฟื้นตัว (ยกเว้นอุตสาหกรรมการบิน) ที่เข้ามาหนุนนั้นจะส่งผลดีต่อทุกธุรกิจ

โดยปีนี้บริษัทจะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 10% หรือรวมประมาณ 1 ล้านตัน จากปี 2563 นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของรายได้ จาก 3 โครงการ คือ โครงการ Propylene Oxide (PO) และ โครงการ Polyols ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่เดือนธ.ค.2563 โดยมีขนาดกำลังการผลิต PO ที่ 200,000 ตันต่อปี ขนาดกำลังการผลิตโพลีอีเทอร์โพลีออลส์ (Polyether Polyols : PPG) ที่ 130,000 ตันต่อปี กำลังการผลิตโพลิเมอร์โพลีออลส์ (Polymer Polyols : POP) ที่ 30,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิตพรีมิกซ์โพลีออลส์ (Premix Polyols : PM) ที่ 20,000 ตันต่อปี รวม 180,000 ตันต่อปี

รวมทั้ง โครงการ Olefins Reconfiguration Project (ORP) คาดดำเนินการเสร็จไตรมาส 1/64 ขนาดกำลังการผลิตเอทิลีน500,000 ตันต่อปี และโพรพิลีน 250,000 ตันต่อปี ส่งผลให้โดยรวมมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 2,988,000 ตันต่อปี เป็น 3,738,000 ตันต่อปี

อีกทั้งโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไตรมาส 4/64 โดยบริษัทมีสัดส่วนถือหุ้นที่ 70% และ ALPHA ที่ 30% เพื่อการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลประเภท rPET ขนาดกำลังการผลิต 30,000 ตันต่อปี และ rHDPE ขนาดกำลังการผลิต15,000 ตันต่อปี

Back to top button