SYNEX พุ่งต่อ 14% โบรกเชียร์ “ซื้อ” อัพเป้าใหม่ 25 บ. เพิ่มประมาณกำไรปี 64 โตทะลุ 760 ลบ.

SYNEX พุ่งต่อ 14% โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” อัพเป้าใหม่ 25 บ. เพิ่มประมาณกำไรปี 64 โตทะลุ 760 ลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ณ เวลา 10.35 น. อยู่ที่ระดับ 20.90 บาท บวก 2.60 บาท หรือ 14.21% สูงสุดที่ระดับ 21.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 19.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 457.20 ล้านบาท

ด้าน บล.เคทีบีเอสที แนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 25.00 บาท อิง PER ปี 2564 ที่ 27.7 เท่า (+2SD above 5-year average PER) จากเดิมที่ 20.00 บาท จากการปรับกำไร และ re-rate targeted PER ขึ้น โดยมีมุมมองเป็นบวกมากต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (2 มี.ค.) จาก 1) อุตสาหกรรม IT  ยังเติบโตดี

โดย Gartner ประเมินยอดขายสินค้ากลุ่ม Device และ Software (สินค้าหลัก SYNEX) ในไทยปี 2564 จะโต +12%/+14%  จากการลงทุนใน infrastructure และ cloud เพิ่มขึ้น, 2) รายได้จะขยายตัวสูงจากสินค้า 5G, Wi-Fi 6 และ IoT (smart environment) โดยจะเริ่มขายสินค้า non-mobile ของ Realme (มี.ค. 21), 3) Gaming และ e-Sport (10% ของรายได้รวม) จะขยายตัว +20% จากปีก่อน จาก Nintendo (เม.ย. 21) และ Game service (ครึ่งหลังของปี 64), 4) GPM จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปี 2566 (2562 = 4.4%) และ 5) เตรียมขยายสินค้าสู่  resident EV charger คาดเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/64

พร้อมกันนี้ ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564 เพิ่มขึ้น +5% เป็น 762 ล้านบาท (+37% จากปีก่อน) จากการปรับ GPM ขึ้นเป็น 4.6% (จากเดิมที่ 4.5%) จากรายได้ non-mobile เพิ่มขึ้น และประเมินกำไรปกติปี 2565 ที่ 952 ล้านบาท (+25% จากปีก่อน) จากรายได้ที่โต +19% จากปีก่อน จากการหา partner และเพิ่มสินค้าใหม่ต่อเนื่อง และ GPM เพิ่มเป็น 4.7%

ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และ outperform SET +17%/+214% ใน 3 และ 12 เดือน แต่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปัจจุบัน SYNEX เทรดที่ PER ปี 2564 ที่ 20 เท่า ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับ core EPS CAGR ปี 2563-65 ที่ +31% และเมื่อเทียบกับปี 2560 (เทรดที่ 2017 PER 28.8 เท่า) ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทได้เริ่มจำหน่าย Huawei แบบ exclusive และทำให้กำไรขยายตัว 2015-17 core EPS CAGR ที่ +33% Key catalysts คือ 1) โอกาสที่ได้ partner สินค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพราะ SYNEX มีจุดแข็งคือ ฐานลูกค้าที่กระจายสินค้ามากกว่า 6.0 พันแห่ง และ 2) การขยายสินค้าสู่ EV (Electrical Vehicles) ที่จะมีความต้องการสูงในอนาคต

Back to top button