BCPG ตั้งเป้าปีนี้ EBITDA โต 40% เตรียมจ่ายไฟ 3 โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น 65 เมกะวัตต์ Q4

BCPG ตั้งเป้าปีนี้ EBITDA โต 40% เตรียมจ่ายไฟ 3 โรงไฟฟ้าญี่ปุ่น 65 เมกะวัตต์ Q4 พร้อมเจรจา M&A ใน-ต่างประเทศ 2-3 ราย คาดสรุปปีนี้


นายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)  หรือ BCPG นำเสนอข้อมูลผลประกอบการงวดปี 2563 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ว่า ในปี 2563 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายของหลายธุรกิจเนื่องจากรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไว้รัสโควิด-19 แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

โดยภาพรวมไตรมาส 4/2563 กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,030.5 ล้านบาท เติบโต 28.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรขั้นต้นไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 535.9 ล้านบาท เติบโต 24.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2563 กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 3,848.7 ล้านบาท เติบโต 30.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรขั้นต้นปี 2563 อยู่ที่ 1,959.3 ล้านบาท เติบโต 13.5%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยส่วนใหญ่การเติบโตมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการ “NamSan 3A” และโครงการ “ลมลิกอร์” พร้อมทั้งการรับรู้รายได้ 10 เดือนจากโครงการ “Nam San 3B” และรายได้ 5 เดือน จากโครงการ “RPV” ทำให้ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,912.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจในกลุ่ม CLMV โดยเน้น 2 ประเทศคือ ลาว และเวียดนาม โดยในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 45.0 เมกะวัตต์ และเป็นการซื้อหุ้นร้อยละ 100.0 ของ Nam San 3B Power Sole Co., Ltd. (“Nam San 3B”) ซึ่งเป็นโครงการพลังงานน้ำแห่งที่ 2 ใน สปป.ลาว ของกลุ่มบริษัทฯ เป็นผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว เพิ่มขึ้นเป็น 114 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3A”และ “Nam San 3B” ของกลุ่มบริษัทฯ ได้ทำสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าแห่งประเทศเวียดนาม (EVN) เป็นผลสำเร็จ โดยโครงการจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN เป็นระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่ปี 2565 จนถึง ปี 2590 พร้อมทั้งกลุ่มบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในสปป.ลาว ร่วมลงทุนก่อสร้างและดำเนินกิจการระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าและสถานีจ่ายไฟฟ้าย่อย (Transmission Line & Substation) ในฝั่ง สปป.ลาว เพื่อรองรับการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN ขณะเดียวกันบริษัทและพันธมิตรอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการพลังงานลมในลาวขนาด 600 เมกะวัตต์ และเตรียมเซ็นซื้อขายไฟกับการไฟฟ้าของเวียดนาม และเริ่มก่อสร้างโครงการได้ในเร็วๆนี้

ในส่วนของการธุรกิจในไทยบริษัทได้มีการขยายกิจการและเข้าซื้อโซลาร์ฟาร์มรวม 20 เมกะวัตต์ในช่วงกลางปี 63 นอกจากนี้บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรบมจ.ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ (TEAMG) และ Keppel DHCS Pte. Ltd. ได้ร่วมมือกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจติดตั้งและบริหารจัดการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling) เพื่อจำหน่ายน้ำเย็นในบริเวณพื้นที่เขตพาณิชย์สวนหลวง-สามย่าน ให้แก่อาคารต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวของจุฬาลงกรณ์

นอกจากการขยายธุรกิจบริษัทยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตด้านของเงินทุนปีก่อนบริษัทได้ระดมทุนประมาณ 10,235 ล้านบาท ตรงนี้ก็จะเป็นเม็ดเงินในการลงทุนใหม่ๆเพื่อขยายกิจการบริษัท

โดยปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้ารวมทั้งหมด  859.3 เมกะวัตต์ เป็นที่เปิดดำเนินการแล้ว 473.7 เมกะวัตต์  และอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ 385.6 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ใน 5 ประเทศ คือ (1.) ประเทศไทย เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการแล้ว 164.2 เมกะวัตต์ และกำลังพัฒนาก่อสร้าง11 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 9 เมกะวัตต์,(2.) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเปิดดำเนินการ 157.5 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่าการก่อสร้าง 24 เมกะวัตต์,(3.)ในประเทศญี่ปุ่นเปิดดำเนินการแล้ว 14.7 เมกะวัตต์ และกำลังพัฒนาก่อสร้าง 75 เมกะวัตต์

(4.)ประเทศลาวและเวียดนาม โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำรวมอยู่ที่ 114 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างดำเนินการสร้างสายส่งและจำหน่ายไฟเวียดนาม และพลังงานลมด้านใต้ของประเทศอีก 270 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการถือหุ้น และ(5.)ประเทศฟิลิปปินส์โรงไฟฟ้าพลังงานลมเปิดดำเนินการแล้ว 14.4 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง 5.6 เมกะวัตต์

ทั้งนี้หากจำแนกสัดส่วนโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมาจากพลังงานลม 34% อยู่ที่ 290 เมกะวัตต์ และ มาจากโซลาร์ 31% ส่วนพลังงานความร้อนใต้พิภพ 21% และพลังงานจากเขื่อน 13.2%

ด้านนางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชีและยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)  หรือ BCPG เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 64 จะเติบโต 30-40% ตามการเติบโตของโรงไฟฟ้าในพอร์ตดังกล่าว ได้แก่ โครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam San 3 ในลาว ขนาด 45 เมกะวัตต์ ซึ่งเข้าลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 1/63 อีกทั้งโครงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ RPV ในไทย 4 โครงการ รวมขนาด 20 เมกะวัตต์ เข้าไปลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 3/2563

นอกจากนี้จะรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นอีก 3 โครงการ รวมขนาด 65 เมกะวัตต์ ได้แก่ (1) โครงการ Komagane กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ (2) โครงการ Yubiki กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ และ (3) โครงการ Chiba #1 กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 (ไตรมาส 4/2564) อีกทั้งได้เจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2-3 ราย คาดจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปีนี้

Back to top button