SYNEX แรลลี่ยาว! บวกอีก 10% “ออลไทม์ไฮ” ลุ้นกำไร Q1 โตเด่น แนะซื้ออัพเป้าใหม่ 36 บ.

SYNEX แรลลี่ยาว! บวกอีก 10% “ออลไทม์ไฮ” ลุ้นกำไร Q1 โตเด่น แนะซื้ออัพเป้าใหม่ 36 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX  ณ เวลา 15.02 น. อยู่ที่ระดับ 30.25 บาท บวก 2.75 บาท หรือ 10.00% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 287.97 ล้านบาท ราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 36.00 บาท อิง 2022E PER 32x (+3SD above 5-yr average PER) จากเดิมที่ 25.00 บาท อิง 2021E PER 28x (+2SD) จากการ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายปี2565และ re-rate targeted PER ขึ้น

ประเมินกำไรปกติไตรมาส 1/2564 ที่ 173 ล้านบาท (+57% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) จากรายได้ที่ขยายตัว โต 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, โต 1% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ตามยอดขาย iPhone, สินค้ากลุ่ม work from home และ cryptocurrency ที่สูง และ Gross profit margin เพิ่มขึ้น เป็น 4.4%คงประมาณการกำไรปกติปี 2564/2565 ที่ 762 ล้านบาท (โต 37%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ 952 ล้านบาท (โต 25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ตามล าดับ

โดยประเมินว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 จะขยายตัวต่อเนื่องเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการสินค้า work from home ที่สูงขึ้น จากการระบาด COVID-19 รอบใหม่, ประเภทสินค้าที่ขายเพิ่มขึ้นหลังเป็นผู้จัดจำหน่าย Nintendo ในไทย, การเปิดตัว iPad Pro และไม่มี การ lock down เหมือนปี ก่อน

ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และ outperform SET +55%/+402% ใน 3 และ 12 เดือน แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวต่อเนื่อง 2565-2566 core EPS CAGR โต 31% และ ROE จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาวอยู่ที่ 26% สูงกว่าช่วงปี 2017-2018 ที่ 24% ซึ่งเป็นช่วงที่ บริษัทได้เริ่มจำหน่าย Huawei แบบ exclusive

นอกจากนี้บริษัทยังมี key catalysts คือ 1) โอกาสที่ ได้ partner สินค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพราะ SYNEX มีจุดแข็งคือ ฐานลูกค้าที่กระจายสินค้ามากกว่า 6.0 พันแห่ง และ 2) การขยายสินค้าสู่ EV (Electrical Vehicles) ที่จะมีความต้องการสูงในอนาคต

ด้านนางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวผันผวน จากแรงกดดันตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่ยังเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการที่หลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงยกระดับเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 สั่งปิดสถานที่ จำกัดเวลาทำการ เริ่ม 26 เม.ย.นาน 14 วัน

รวมทั้งกรณีที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีแผนปรับเพิ่มภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) สูงถึง 43.4% สำหรับชาวอเมริกันที่ร่ำรวย และปรับเพิ่มภาษีสูงถึง 39.6% สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันเรียกเก็บที่ระดับ 20% ส่งผลให้เกิดแรงขายออกมาหลังจากประกาศข่าวดังกล่าว

และทางด้านโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ขาดแคลนชิปซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ทีวี และเครื่องเล่นเกมคอนโซล เลวร้ายลง ส่งผลให้คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีแกว่งตัวในระดับ 1,544-1,587 จุด

ทั้งนี้ คงต้องจับตาสถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศ อาทิ การประชุมครม. การเชิญภาคเอกชน ทั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและกระจายวัคซีนร่วมกับภาครัฐ เพื่อกระจายสู่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม

และทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค และดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค จับตาการทบทวนประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.8% หรือไม่ อีกทั้งทาง สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม และ ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย

ด้านปัจจัยต่างประเทศ เช่น จีนเปิดเผยกำไรภาคอุตสาหกรรม ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุมนโยบายการเงิน สหรัฐฯ เปิดเผยราคาบ้านเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. 27-28 เม.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประชุมนโยบายการเงิน แถลงมติอัตราดอกเบี้ย (เช้าวันที่ 29 เม.ย.) รวมทั้งการเปิดเผยสต๊อกน้ำมันของสหรัฐฯ ส่วนทางอียูเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จาก WFH ได้แก่ COM7, SYNEX, SIS, HMPRO, ILM, ITEL, INSET และ NETBAY

Back to top button