“โควิด” พ่นพิษ BJC ฉุดกำไรไตรมาส 3 เหลือ 367 ลบ.  

BJC ไตรมาส 3 กำไรลด 65% เหลือ 367 ลบ. หลัง “โควิด” ทำยอดขายในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ลดลง


บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2564 ดังนี้

บริษัทฯ รายงานรายได้รวมในไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 36,922 ล้านบาท ลดลง 1,317 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.40 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมลดลงจากยอดขายและรายได้ค่าบริการที่ลดลงจากกลุ่มธุรกิจรวม อยู่ที่ 34,466 ล้านบาท ลดลง 561 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.60 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลดลงของยอดขายในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเวชภัณฑ์ และเทคนิคสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายอย่างแข็งแกร่ง รายได้อื่นเท่ากับ 2,389 ล้านบาท ลดลง 790 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.80 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากการลดลง ของรายได้ค่าเช่าในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ เนื่องจากการยกเว้นค่าเช่าและส่วนลดค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ เช่าใน 29 จังหวัดสีแดงเข้มที่จำเป็นต้องปิดร้านค้าในบางช่วงระหว่างไตรมาส

อีกทั้งบริษัทฯ รายงานกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 1,969 ล้านบาท ลดลง 679 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.60 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเกิดจากการลดลงของยอดขายในกลุ่ม สินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงรายได้อื่นที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก สมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากค่าชดเชยให้กับพนักงานจากการปรับโครงสร้างองค์กร จำนวน 28 ล้านบาทที่บันทึกในไตรมาส 3/2563 กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 3/2564 ลดลง 706 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.40 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 367 ล้านบาท ลดลง 695 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 65.4 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุเป็นไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากค่าชดเชยให้กับพนักงานจากการปรับโครงสร้างองค์กรสุทธิจากภาษีเงินได้นิติบุคคลและผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 27 ล้านบาทที่บันทึกในไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 3/2564 ลดลง 723 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 66.30 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

 

 

Back to top button