MINT การเงินแกร่ง มั่นใจปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” รับท่องเที่ยวฟื้น

MINT เล็งปี 65 “เทิร์นอะราวด์” รับท่องเที่ยวฟื้น อัตราการเข้าพักโรงแรม “ไทย-ยุโรป” พุ่งสูงถึง 36%-60% ภาพธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารกลับมาให้บริการกว่า 90% แล้ว ขณะที่สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง


นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง MCOT HD30 ในวันที่ 21 ม.ค.2565 มีประเด็นสำคัญดังนี้

ภาพรวมธุรกิจในเครือของ MINT ปัจจุบันมีสถานการณ์เป็นอย่างไร?

สำหรับการดำเนินธุรกิจในเครือ MINT ขณะนี้ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารเริ่มกลับมาให้บริการกว่า 90% แล้ว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากในไตรมาส 3/2564 มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ โดยสถานการณ์ภายในประเทศมีอัตราการเข้าพักในโรงแรมที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ก่อนหน้าที่ช่วงไตรมาส 3/2564 มีอัตราการเข้าพักในโรงแรมเพียง 17% เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์ล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาในการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่เมื่อมีการคลายล็อกในเดือนกันยายนประกอบกับนโยบายทางภาครัฐที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ก็ทำให้อัตราการเข้าพักในโรงแรมมีแนวโน้มดีขึ้นในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน โดยมีอัตราการเข้าพักโรงแรมราว 20%-30% ยิ่งในเดือนธันวาคมที่เป็นหน้าเทศกาล รวมถึงโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก็ทำให้มีอัตราการเข้าพักโรงแรมเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 36%

ขณะที่สถานการณ์การดำเนินธุรกิจในยุโรปก็มีอัตราตัวเลขอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีอัตราการเข้าพักในโรงแรมอยู่ราว 40% โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมตัวเลขอัตราเข้าพักพุ่งขึ้นไปถึง 60% แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม เป็นช่วงที่มีตัวเลขปรับตัวลงมาเหลือประมาณ 50% เนื่องจากเป็นช่วง Low Season และส่วนผลกระทบจากโอมิครอนก็ไม่มากเท่าไหร่ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ประชาชนเริ่มมีความมั่นใจในการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะทำให้อัตราในการเข้าพักในโรงแรมของบริษัทฯ มีการปรับตัวที่ดีขึ้น

 

ในปี 2565 มีแผนดำเนินการอย่างไรในการรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กับการกลับมาของ Test&GO 

สำหรับแผนการดำเนินการในปี 2565 ทางบริษัทฯจะมุ่งเน้นในการสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้กลับแบรนด์ เพราะต่อให้สถานการณ์โควิด-19 อาจมีแนวโน้มดีขึ้น แต่นักท่องเที่ยวยังคงคำนึงถึงเรื่องของสุขภาพมาเป็นอันดับต้นๆ  ซึ่งทางบริษัทฯ จึงต้องการที่จะมุ่งเน้นให้ประชาชนได้ท่องเที่ยวและพักผ่อนโดยไม่ต้องเป็นห่วงถึงเรื่องของสุขภาพและนี้จะเป็นโจทย์ที่ท้าทายในการสร้างแบรนด์ของบริษัทฯ

นอกจากนี้ยังมีแผนในการทำ Digital Transformation เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้า-นักท่องเที่ยว ได้อย่างใกล้ชิดมากและมีความเป็นส่วนตัว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตลอด 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้เรียนรู้ที่จะบริหารการใช้เงินรวมไปถึงการกำจัดต้นทุน ซึ่งมันทำให้บริษัทฯ สามารถดำเนินการและบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ Margins มีแนวโน้มดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ความพร้อมในแง่ของเงินทุนต่างๆ ทาง MINT มีความพร้อมมากน้อยเพียงไหน?

บริษัทฯ มีการจัดการเรื่องของสถานะทางการเงินได้เป็นอย่างดี มีการรักษาสภาพคล่องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา จึงมองว่าในขณะนี้ MINT มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ประกอบกับตัวเลขกระแสเงินสดก็อยู่ในทิศทางบวก จึงมองว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาได้มากเท่าไหร่ ส่วนของรายได้จะมีการเพิ่มมากขึ้น ก็จะสามารถดันให้ Margins สูงกว่าในอดีต เพราะทางบริษัทมีการปรับโครงสร้างต้นทุนมาแล้วก่อนหน้านี้

ส่วนของธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ จะมีการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการกลับมาฟื้นตัวของฝั่งยุโรปอย่างไร?

เนื่องจากฐานลูกค้าในยุโรปส่วนใหญ่ ก็คือประชาชนที่ท่องเที่ยวอยู่ในภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งคิดเป็นฐานลูกค้าราว 70-75% ทั้งนี้ยิ่งมีการผ่อนคลายมาตรการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มากเท่าไหร่ กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯก็จะกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้นเท่านั้น ทาง MINT จึงตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่จะใช้ภายในประเทศไทย กล่าวคือการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง และให้มีความเชื่อมั่นในการมาท่องเที่ยวโดยปราศจากการวิตกกังวลเรื่องของสุขภาพ และด้วยความที่โรงแรมบริษัทตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่นิยม จึงเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาได้โดยไม่ยาก

Back to top button