JMART เดินหน้าผนึกพันธมิตร-สตาร์ทอัพ ลุยปั้น 20 โปรเจกต์ ย้ำเป้ากำไร 3 ปีโต 50%

JMART เปิดกลยุทธ์ปี 65 ลุย Synergy-New Partner-New Business เดินหน้าเจรจาพันธมิตร-สตาร์ทอัพ วางแผนปั้น 20 โปรเจกต์ มั่นใจสร้างการเติบโตแบบ Next J Curve ย้ำเป้ากำไรโตไม่ต่ำกว่า 50% ต่อเนื่อง 3 ปี (ปี 65-67)


นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โดย Technology Investment Holding Company (T-IHC) เปิดเผยว่า ในปี 2564 ทำกำไรสุทธิสูงสุดได้เป็นประวัติศาสตร์ จากพลังของกลุ่มที่ทำ Synergy ได้อย่างชัดเจน และการเติบโตของทุกบริษัทในกลุ่ม สนับสนุนกำไรที่แข็งแรง

สำหรับปี 2565 เตรียมนำเงินที่ได้จากการลงทุนของ BTS Group รวมทั้งหมดราว 30,000 ล้านบาท จะเริ่มนำมาใช้ขยายการเติบโตในปีนี้ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักคือ (1) การ Synergy ร่วมกันของ Ecosystem ภายใน JMART Group (2) การเปิดตัวพันธมิตรรายใหม่ (New Partner) ต่อยอดการเติบโตไปยัง Ecosystem ของพันธมิตร และ (3) การเปิดตัวธุรกิจใหม่ (New Business) โดยปัจจุบันมีอยู่ในแผน 20 โปรเจกต์ เพื่อสนับสนุนบริษัทขนาดเล็ก หรือสตาร์ทอัพ อาทิ ธุรกิจด้านการเงิน, ค้าปลีก, การแพทย์เฉพาะทาง และ Digital transformation เพื่อตอบโจทย์การเติบโตแบบ Next J Curve แบบยกทีมในกลุ่ม คาดเห็นภาพชัดเจนต่อเนื่องในปีนี้ และมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตของกำไรในระดับ 50% ต่อเนื่องใน 3 ปีจากนี้ได้ตามเป้าหมาย (ปี2565 – 2567)

ด้านโปรเจกต์แรกที่เริ่มเปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือการปั้นธุรกิจ บริษัท เจดี กรุ๊ป จำกัด หรือ JayDee Group  เพื่อเข้าไปขยายการเติบโตในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยสินเชื่อเงินผ่อน สนับสนุนให้พอร์ตทางธุรกิจและช่องทางการเข้าถึงลูกค้าของกลุ่มบริษัทสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมีเจมาร์ท โมบาย จับกลุ่มลูกค้าในห้างสรรพสินค้า และ เจดี กรุ๊ป เจาะกลุ่มหัวเมืองต่างจังหวัด

ขณะที่บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เจาะกลุ่มระดับตำบลและหมู่บ้าน ผ่านตัวแทนขายทั่วประเทศ โดยใช้หัวใจของเทคโนโลยีขับเคลื่อน และการทำ JFIN Adoption ที่คาดว่าจะสร้างยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากช่วง 4 ปีที่แล้ว มีผู้ลงทุนใน JFIN ราว 2,000 wallet แต่วันนี้มีเกือบ 700,000 wallet สร้างยอดขายให้กลุ่มเจมาร์ทได้กว่า 1,000 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิด Exponential Growth ซึ่งยังไม่นับรวมความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจาก Ecosystem ที่แข็งแรงของ BTS Group

นอกจากนี้ ความคืบหน้าการจับมือระหว่าง JMART, SINGER และบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL จัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำเร็จแล้ว ในชื่อ JGS Synergy Power เพื่อนำ Solar Rooftop, EV Charger และ Solar Rooftop พร้อมสินเชื่อสู่ช่องทางค้าปลีกที่แข็งแกร่งในกลุ่มบริษัท โดยเริ่มเปิดจำหน่ายสินค้าวันนี้ 7 มีนาคม 2565 เป็นวันแรก

ขณะเดียวกัน นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด หรือ JAYMART MOBILE เปิดเผยว่า ในปี 2565 ตั้งเป้าผลการดำเนินงานเติบโต 100% ส่วนรายได้คาดโต 50% เนื่องจากภาพรวมสินค้าเทคโนโลยีได้รับการตอบรับมากขึ้น ขณะที่การขยายพอร์ตสินค้า และช่องทางการจำหน่าย รวมไปถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดมีทิศทางที่ดีขึ้น จึงมองภาพรวมปีนี้ว่าจะไม่มีมาตรการปิดสาขาในห้างดังเช่นปีที่ผ่านมาแล้ว และตั้งเป้าการขยายสาขาเพิ่มอีก 100 สาขา จากสิ้นปี 2564 มีสาขาจำนวน 250 แห่ง มุ่งเน้นสาขาใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น ควบคู่การรุกช่องทางออนไลน์ และการเติบโตผ่าน Synergy shop ที่แข็งแกร่ง

รวมถึงการจับมือกับบริษัท เจดี กรุ๊ป นำสินค้ากลุ่มโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีไปจัดจำหน่ายในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้เพิ่มเติม พร้อมชู 4 กลยุทธ์หลักสำหรับการเติบโตของเจมาร์ท โมบาย ในปีนี้ คือ “Gadget Destination” การนำสินค้าใหม่เข้ามาจำหน่าย “Destination” นำสินเชื่อเข้ามาบริหาร ทั้ง Kashjoy และ SINGER รวมทั้ง การทำ “Digital Transformation” และ การผนึกกำลัง “Power of Synergy” มองโอกาสปีนี้เป็นการเข้าสู่ยุคทองของเจมาร์ทโมบาย

ส่วนนายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ในปี 2565 ย้ำภาพผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันอันดับ 1 ของประเทศ เดินหน้าขยายการเติบโตรับภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังคงอยู่ในระดับสูง จึงวางงบลงทุนซื้อหนี้ในปีนี้ไว้ราว 10,000 ล้านบาท ทั้งหนี้ด้อยคุณภาพแบบมีหลักประกัน และไม่มีหลักประกัน จากปีก่อนใช้งบลงทุนไป 8,516 ล้านบาท และมีพอร์ตหนี้ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 238,213 ล้านบาท หรือมีหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้าราว 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดแล้ว (Fully amortized)  49,900 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนภาพรวมกำไรให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง และคาดการเติบโตปีนี้จะมีนัยสำคัญ จากงบการลงทุนที่วางไว้มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึง เป้าหมายกำไรสุทธิที่คาดจะเติบโตระดับ 45%

ขณะที่ก่อนหน้านี้ JMT ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทลูกของ ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คาดกระบวนการจะแล้วเสร็จราวปลายไตรมาส 1/2565 นี้ และเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป

ส่วนนายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจในปี 2565 เป็นอีกปีที่ท้าทายด้วยเป้าหมายการเติบโตในระดับ 100% ต่อเนื่อง ผ่านการโฟกัส 6 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพื้นที่เช่ามือถือ IT Junction ที่มีทิศทางการเติบโตตามเทรนด์เทคโนโลยี, ธุรกิจศูนย์การค้าคอมมูนิตี้มอลล์ ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวน 5 แห่ง และมีอัตราเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) อยู่ในระดับสูงกว่า 95% คาดปีนี้จะได้เห็นการขยายโครงการไปยังพื้นที่โซนบางบัวทอง เป็นโครงการที่ 6 ของบริษัทเพิ่มเติม

โดนกลุ่มธุรกิจสร้างขาย ภายใต้โครงการคอนโด Newera และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือสองร่วมกับบริษัทลูก JMT เป็นอีกธุรกิจที่เสริมรายได้เข้ามาเติมเต็มพอร์ต และกลุ่มธุรกิจ Health Care and Service สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ภายใต้แบรนด์ “SENERA” เป็นการเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงวัยแบบครบวงจร โดยจะเปิดให้บริการที่ศูนย์การค้าชุมชน JAS green village คู้บอนที่แรกภายในสิ้นปี 2565 ตามแผน พร้อมโฟกัส “SENERA” เป็นธุรกิจที่สอดรับเทรนด์สังคมสูงวัยในอนาคต ตั้งเป้ามี 10 แห่ง ภายใน 3 ปีจากนี้

โดยล่าสุดเตรียมจับมือกับ บริษัท วิมุต เวลเนส เซอร์วิส จำกัด และจะมีการประกาศความร่วมมือเพื่อสนับสนุนธุรกิจด้านสุขภาพให้ SENERA ครบวงจรยิ่งขึ้น และสุดท้ายในกลุ่มธุรกิจ Digital Transformation เข้ามาเติมเต็ม เพื่อให้ JAS ASSET เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำเทรนด์ โดยการร่วมมือกับ JFIN สร้างการเติบโตและความยั่งยืนในยุคที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ดิจิทัล

ด้าน นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า ในปี 2565 SINGER ตั้งเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิในระดับ 75% จากปี 2564 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จทำกำไรสูงสุดในรอบ 132 ปี All Time High อีกครั้ง หลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากนักลงทุนและพาร์ทเนอร์เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง และการ Synergy ร่วมกับ Ecosystem ของ JMART Group และ BTS Group และพันธมิตร

ดังนั้น ตั้งเป้าเดินหน้าขยายทีมขาย และมุ่งสู่เป้าหมายมีร้านสาขาย่อยและแฟรนไชส์ 7,000 แห่ง หรือเติบโตขึ้นเท่าตัวจากปีก่อนมี 3,200 แห่ง และมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท จากปีก่อนมีพอร์ตรวมอยู่ที่ 10,962 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้ดีกว่าเป้าหมาย แบ่งเป็นพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) 6,045 ล้านบาท ส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase) อยู่ที่ 4,734  ล้านบาท และพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อสวัสดิการและเงินให้กู้ยืมทองคำจำนวน 183 ล้านบาท

ขณะที่ ธุรกิจประกันเติบโตในทิศทางเดียวกับสินเชื่อรถทำเงิน ส่วนภาพรวม NPL คาดรักษาได้ในระดับ 3.5% อย่างไรก็ดี สำหรับแผนการนำ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้

อีกทั้ง นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ J VENTURES  เปิดเผยว่า บริษัทฯ กางโปรเจกต์ด้านเทคโนโลยีและบล็อกเชน เพื่อผสานพลัง Synergy ภายในกลุ่มเจมาร์ทอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างรายได้ในปี 2564 ที่ผ่านมาได้ถึง 31 ล้านบาท โดยเริ่มพลิกทำกำไรได้เป็นปีแรกในระดับกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2567 นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กลุ่มเจมาร์ท

ขณะเดียวกัน เจ เวนเจอร์ส ก็พร้อมจะสร้างฐานการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นภายใต้โปรเจกต์ด้านเทคโนโลยีที่มีจำนวนมาก และปัจจุบันมี Ecosystem ที่แข็งแรงถึง 14 บริษัทเป็นพันธมิตร  จัดทำกิจกรรม JFIN Adoption หรือภายใต้แคมเปญ ลด แลก แจก JFIN กับสินค้าและบริการในเครือเจมาร์ทที่ทำไปแล้ว 24 แคมเปญ มีผู้ใช้งานผ่าน J.ID Application ราว 670,874 ราย (JID Users) และ ขยายไปยัง Ecosystem ของ BTS Group ประเดิมด้วยโครงการแรกในการนำเหรียญ JFIN แลกแรบบิท พอยท์ จาก Rabbit Rewards เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวโปรเจกต์ JNFT Marketplace แพลตฟอร์ม NFT ของคนไทยไม่กี่รายในปัจจุบัน เป็นโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต ซึ่งจะมีการอัพเดทพัฒนาการด้าน NFT มากขึ้น รวมถึง โปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse และ Digital Platform ภายใต้ ป๋า ตัวกลางปล่อยสินเชื่อในยุคดิจิทัล คาดจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเดินตามแผนพัฒนาด้าน Decentralized Digital Lending Platform อีกทั้ง “JFIN” ซึ่งเป็น Utility Token ในกลุ่มเจมาร์ท ประกาศพัฒนาการที่สำคัญในการลิสต์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม ทำให้ปัจจุบันสามารถซื้อ-ขาย เหรีญ JFIN ได้ใน 4 ช่องทาง คือ SatangPro BitKub GukoMarket และ MetaMask

 

Back to top button