จับตากำไร MEGA ไตรมาส 1 โต 17% เทรนด์สุขภาพหนุน โบรกเชียร์ “ซื้อ” เป้า 63 บ.

โบรกเชียร์ “ซื้อ” MEGA เป้า 63 บ. มองกำไรปกติไตรมาส 1 โต 17% แตะ 414.50 ลบ. รับเทรนด์สุขภาพที่กลายเป็น New normal หนุน อีกทั้งรายได้คาดจะต่อเนื่อง


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (5 เม.ย.2565) โดยประเมิน บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 1/2565 จะอยู่ที่ 414.50 ล้านบาท ลดลง 11.80% จากไตรมาสก่อนตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 17.10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าความรุนแรงของโอมิครอนจะน้อยกว่าโควิดสายพันธุ์อื่นในอดีตเพราะอัตราการได้รับวัคซีนของประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับไทย ณ วันที่ 3 เม.ย. 2565 ประชากรที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มมีอัตรา 80.10% และผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มมีอัตรา 72.40% ขณะที่ประชากรโลกประมาณ 66.20% ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่กระแสใส่ใจสุขภาพที่กลายเป็น New normal ทำให้ทางฝ่ายวิจัยคาดรายได้ของ MEGA จะเติบโตได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เพิ่มขึ้น 2.50% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2.60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 3,353.90 ล้านบาท

ส่วนสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนมีผลกระทบจำกัด ทั้งในด้านรายได้จากยูเครนที่มีสัดส่วนเพียง 2-3% ของรายได้รวม และต้นทุนที่สามารถบริหารจัดการได้ ทำให้ทางฝ่ายวิจัยคาดอัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่  42.30% ชะลอเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวของปีก่อนจาก Economy of scale ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้คาดว่าจะยังมีสัดส่วนใกล้เคียงเดิมคือ 27-28%

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ประมาณการกำไรปกติไตรมาส 1/2565 คิดเป็น 20% ของคาดการณ์ทั้งปีที่ 2,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.70% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคงประมาณการกำไรในช่วงปี 2565-2567 เติบโตเฉลี่ย 12.20% CAGR ซึ่งจุดแข็งของ MEGA คือการมี Brand ที่แข็งแกร่ง มีโรงงานผลิต 4 แห่งทั้งในไทย ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย พร้อมส่งออกไปตลาดต่างๆ โดยเฉพาะตลาดประเทศกำลังพัฒนา และระดับราคาของผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงได้ ทางฝ่ายวิจัยจึงคิดว่าเป้าของผู้บริหารที่ตั้งไว้ว่ารายได้จะเติบโตเป็นเท่าตัวภายในปี 2568 นับจากปี 2562 หรือเป็น 2.20 หมื่นล้านบาท มีโอกาสถึงเป้าเร็วกว่านั้น

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 63 บาท คิดเป็น Implied PE 26.20 เท่า ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่ 28-33 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PE ที่ 19.40 เท่าและ EV/EBITDA ที่ 14 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกราว 30-40% และต่ำกว่า Blackmores (BKL AU) ที่มี PE และ EV/EBITDA 46.7 และ 16.4 เท่า จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button