FSSIA ชู SPRC-ESSO ท็อปพิก “หุ้นโรงกลั่น” กำไร Q2 โต-ไร้เฮดจิ้งกระทบ

FSSIA ชู SPRC-ESSO ท็อปพิก “หุ้นโรงกลั่นไทย” ชี้กำไร Q2 เติบโตดี และไม่มีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยง


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุว่า ดาวน์ไซด์ต่อกลุ่มหุ้นโรงกลั่นไทยค่อนข้างที่จะรับรู้ไปเกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะโรงกลั่นที่มีสหรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC และ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO

โดยหลังจากที่ราคาหุ้นโรงกลั่นไทยร่วงลงกว่า 15-25% ภายในระยะเวลาห้าวันในสัปดาห์ที่แล้วจากข่าวที่ทางรัฐบาลเล็งขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากโรงกลั่นไทยเป็นเงินสูงถึง 8.50 พันล้านบาทต่อเดือน เป็นเวลาสามเดือนตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย. เพื่อบรรเทาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้นรับรู้ดาวน์ไซด์ในเรื่องนี้ไปเกือบหมดแล้วโดยเฉพาะโรงกลั่นที่มีสหรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง SPRC ที่มีเชฟรอนถือหุ้น และ ESSO ที่ ExxonMobil ถือหุ้นอยู่

ทั้งนี้จากราคาปิดของหุ้นโรงกลั่นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา FSSIA เชื่อว่ามูลค่าในตอนนี้มีความน่าดึงดูด และคาดว่าส่วนลดต่อการชดเชยตามมูลค่า (Replacement Value) จากสูงสุดไปน้อยสุด คือ 58% สำหรับ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, 52% สำหรับ ESSO, 50% สำหรับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, 37% สำหรับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, 33% สำหรับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, และ 20% สำหรับ SPRC

อย่างไรก็ดี FSSIA ได้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกต่อราคาหุ้นของ SPRC และ ESSO จาก (1) ความเป็นไปได้น้อยที่ทั้งสองโรงกลั่นจะทำตามคำขอของรัฐบาลไทยจากข้อกฎหมายที่จำกัด (2) มีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2-4/2565 หนุนโดยค่าการกลั่นที่สูงกว่า 15เหรียญ/บาร์เรล นอกจากนั้นแล้วยังมีโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำ ผลตอบแทนจากแก๊สโซลีนที่สูงกว่าเจ้าอื่นในประเทศ และอัพไซด์ที่สูงจากอัตราการใช้งานที่สูง และ (3) ไม่มีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยง (Hedging) เมื่อเทียบกับโรงกลั่นของกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อย่าง TOP, IRPC และ PTTGC

ขณะเดียวกัน FSSIA มองว่า TOP, IRPC, PTTGC และ BCP จะต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลโดยคิดเป็นเม็ดเงินราว 6-8.50 พันล้านบาทต่อเดือนเป็นเวลาทั้งหมดสามเดือน และจะมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงที่เกิดจากนโยบายประกันความเสี่ยง 30-50% ของบริษัท ทำให้ทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 จะไดลูทอยู่ราว 20-60% โดยมีดาวน์ไซด์เรียงจากมากไปน้อยคือ TOP (60%), PTTGC (50%), IRPC (40%) และ BCP (20%)

โดยจากกรณีดังกล่าว ทำให้ FSSIA เลือก SPRC และ ESSO เป็นสองหุ้นท็อปพิกในกลุ่มโรงกลั่นไทย เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยง และการเติบโตของกำไรที่ชัดเจนในไตรมาส 2/2565 ซึ่งคาดว่ากำไรของ SPRC จะอยู่ที่ 5.20 พันล้านบาท และ ESSO ที่ 5.90 พันล้านบาท ด้านกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ได้จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นไตรมาสก่อน จะถูกหักล้างโดยผลกระทบจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน (Inventory Gain) ที่ลดลงไตรมาสก่อน

สำหรับราคาหุ้นของ IRPC, TOP และ PTTGC ซื้อขายในราคาที่มีส่วนลดค่อนข้างลึกต่อการชดเชยตามมูลค่า ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่าดาวน์ไซด์ต่อกำไรจากการขาดทุนของการประกันความเสี่ยง และความเป็นไปได้ที่จะต้องช่วยรัฐบาลเรื่องปัญหาค่าน้ำมันจะยังทำให้มีแนวโน้มที่จะมีส่วนลดต่อมูลค่าเพิ่มอีกในระยะสั้น

อย่างไรก็ตามแนะนำ “ซื้อ” SPRC กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 11.60 บาท, ESSO กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 10.80 บาท, TOP กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 49.50 บาท, BCP กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 29.50 บาท และ PTT กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 33.25 บาท

ขณะเดียวกันแนะนำ “ขาย” PTTGC โดยตั้งราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บาท และ IRPC ตั้งราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.12 บาท

Back to top button