FSSIA ชี้เป้าธุรกิจ PET-IOD ดันปี 67 อีบิทด้า IVL แตะ 2.8 พันล้านเหรียญ!

FSSIA ประเมินอีบิทด้า IVL ปี 65-67 โตแกร่ง คาดแตะ 2.8 พันล้านเหรียญ รับธุรกิจ combined PET และ IOD มีแนวโน้มขยายตัว ผลักดันมาร์จิ้นสูงขึ้น


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL โดยมองว่า IVL ไม่เพียงแต่เป็นบริษัทที่อยู่รอดจากความวุ่นวายในตลาดโลก แต่ยังเป็นผู้ชนะด้วยเช่นกันจากสามปัจจัยหลักคือ 1) ยกเลิกสมดุลรายได้ท่ามกลางการเติบโตของความต้องการในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง 2) เทรนด์การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) ที่ช่วยเพิ่มราคาเทียบเคียงการนำเข้าระหว่างตลาดตะวันออกกับตลาดตะวันตก

รวมทั้ง 3) เมกะเทรนด์ด้านการลดการปล่อยคาร์บอน (de-carbonization) ที่จะช่วยหนุนการใช้งานบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีประสิทธิภาพการรีไซเคิลที่ดี ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะเน้นย้ำมาร์จิ้นที่สูงในธุรกิจ integrated PET-PTA, สารลดแรงตึงผิว และ Methyl Tertiary Butyl Ether (MTBE) โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างด้านภูมิทัศน์อุตสาหกรรมของโลกสำหรับห่วงโซ่คุณค่าในธุรกิจ PET, IOD, และไฟเบอร์ จะช่วยให้มีแนวโน้มขาขึ้นของมาร์จิ้นที่สูง และยาวนานในปี 2566-2567

ทั้งนี้เชื่อว่า EBITDA ของ IVL ในช่วงปี 2565-2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าในปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 2.8 พันล้านดอลลาร์ จากการเติบโตของธุรกิจ combined PET และธุรกิจในกลุ่ม IOD หลังการเข้าซื้อ Oxiteno และการเพิ่มขึ้นของมาร์จิ้นในสารลดแรงตึงผิว และ MTBE โดยที่มาร์จิ้นของ MTBE ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1 พันดอลลาร์/ตัน ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากความต้องการแก๊สโซลีน และมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นแรง ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์มองปี 2565 ว่ามาร์จิ้นของ MTBE จะคงระดับอยู่ที่ 500 ดอลลาร์/ตัน และในปี 2566 อยู่ที่ 400 ดอลลาร์/ตันและด้วยกำลังการผลิต MTBE ที่สูงถึง 0.73mtpa ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าทุกๆ 100 ดอลลาร์/ตันของมาร์จิ้น MTBE ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ IVL มี EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 40-50 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม FSSIA ปรับราคาเป้าหมาย IVL ลงจาก 70 บาท เหลือ 65 บาท จากการปรับมูลค่า EV/EBITDA ปี 2565 ที่ลดลงจากเดิม 9.4 เท่า เหลือ 6 เท่า

สำหรับปี 2566 และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ลดลง 1.25SD จากค่าเฉลี่ย 12 ปี เพื่อสะท้อนมุมมองแนวอนุรักษ์นิยมของ FSSIA อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวจะได้รับการชดเชยจาก EPS ที่คาดว่าจะสูงขึ้น 43.7-54.4% ในปี 2565-66 จากกลยุทธ์การเติบโตที่เหนือชั้น และมีอำนาจการตั้งราคาที่สูง การควบคุมต้นทุน และธุรกิจที่อยู่ในจุดสูงสุดในกลุ่มโพลีเอสเตอร์ และปิโตรเคมี

 

Back to top button