“คปภ.” เปิด 3 ประเด็น เร่งแก้ปมเบี้ยประกันภัย “รถยนต์ EV” แพง

“คปภ.” เปิด 3 ประเด็นหลัก เร่งหารือแก้ปัญหาเบี้ยประกันภัย “รถยนต์ไฟฟ้า EV” แพง หลังพบต้นทุนเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสูง ทำ Loss Ratio เพิ่มขึ้นมาก


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้เชิญประชุมบริษัทประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายบริษัท และผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยหลายครั้ง เพื่อหารือข้อสรุปเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งสรุปผลได้ 3 ประเด็นหลักๆ ดังนี้

โดยประเด็นแรกสถานการณ์โดยทั่วไป ปัจจุบันมีรถ EV จดทะเบียนทุกประเภทประมาณ 20,000 คัน แบ่งเป็นรถเก๋งประมาณ 7,500 คัน และรถประเภทอื่นๆ อาทิ รถจักรยานยนต์ และรถโดยสารประมาณ 12,500 คัน รวมทั้งบริษัทกำหนดเบี้ยประกันภัยรถ EV สัญชาติเอเชียสูงกว่ารถสันดาปในระดับเดียวกันประมาณ 5-10% รถยุโรปสูงกว่าประมาณ 10-15% และอเมริกาสูงกว่าประมาณ 20-25% ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์กลุ่มนี้

ประเด็นที่ 2 ได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของการรับประกันภัยรถ EV ที่มีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถสันดาปในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 800:1 ลักษณะการซ่อมไม่ว่าจะเสียหายมากหรือน้อยจะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนยกชุดอุปกรณ์แทนการซ่อม ซึ่งจะทำให้มีราคาต้นทุนค่อนข้างสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ยี่ห้อ ORA ราคาทุนประกันภัยประมาณ 8 แสนบาทส่วนของแบตเตอรี่ที่เสียหายต้องมีการเปลี่ยน ต้นทุนในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ยกชุดประมาณ 5 แสนบาท

สำหรับความถี่ในการเกิดเหตุนั้นใกล้เคียงกับรถสันดาป แต่ต้นทุนในการเกิดเหตุสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ส่งผลให้ Loss Ratio เฉลี่ยของรถ EV สูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก ซึ่งข้อมูลจากการรับประกันภัยรถ EV ของต่างประเทศ ซึ่งมีประสบการณ์ในการรับประกันภัยมาก่อนพบว่ามี Loss Ratio สูงมากกว่ารถสันดาปถึง 30-40%

ประเด็นที่ 3 ที่ประชุมเห็นตรงกันในการแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัย ระยะสั้น และเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย ดังนี้

ทั้งนี้ การจัดทำเอกสารแนบท้าย กำหนดทางเลือกเฉพาะกรณีแบตเตอรี่ได้รับความเสียหาย และต้องมีการเปลี่ยนแบบยกชุดเท่านั้น (กรณีใช้วิธีการซ่อม บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด) โดยให้มีทางเลือก 3 กรณี ให้ผู้เอาประกันภัยเลือกข้อใดข้อหนึ่ง และบริษัทจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัย 10-25% (ตามประสบการณ์ของแต่ละบริษัท) ดังนี้

กรณีที่ 1 จำกัดจำนวนเงินความคุ้มครองของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทจะให้ความคุ้มครองไม่ต่ำไปกว่า 50% ของมูลค่าแบตเตอรี่

กรณีที่ 2 กำหนดความรับผิดชอบส่วนแรก โดยจะระบุไม่เกิน 15% ของมูลค่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

กรณีที่ 3 Copayment กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายร่วมไม่เกิน 15%

โดยที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันว่าในช่วงนี้บริษัทประกันภัยรถ EV จะไม่มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติม โดยบริษัทจะคงราคานี้ไว้ไปก่อน แม้ว่า Loss Ratio ของกลุ่มนี้จะสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก

ส่วนสิ่งที่จะดำเนินควบคู่กันไปเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน คือ จะดำเนินการเก็บรวบรวมสถิติในการรับประกันภัยรถ EV พร้อมศึกษารูปแบบการประกันภัย เพื่อจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV มุ่งให้ความคุ้มครอง และอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยง รวมถึงต้นทุนในการรับประกันภัย ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยใหม่ที่บริษัทประกันภัยในประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ โดยกำหนดแผนดำเนินการในปี 2566

โดยได้สั่งการให้สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยเร่งพิจารณาร่างเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถ EV ร่วมกับสายกฎหมาย และคดีเพื่อเสนอต่อนายทะเบียนพิจารณาให้ความเห็นชอบตามกระบวนการ รวมถึงขั้นตอนต่อไป

การประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเบี้ยประกันภัยรถ EV แพง เป็นมาตรการระยะสั้นและเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ และมีประเด็นแตกต่างจากกรณีประกันภัยรถยนต์ทั่วไปในอนาคตจำเป็นจะต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ EV โดยเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV เพื่อให้ความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยง รวมถึงต้นทุนในการรับประกันภัย อันจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้” นายสุทธิพล กล่าว

Back to top button