ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง READY หุ้นเทคฯน้องใหม่ ขาย “ไอพีโอ” 35 ล้านหุ้น เข้า mai ปีนี้

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง READY ขายหุ้น IPO จำนวน 35 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายในตลาด mai ภายในปีนี้ นำแพลตฟอร์ม “Readyplanet All-in-One Platform” ขยายขีดความสามารถองค์กร โตรับเทรนด์การตลาดดิจิทัล สู่ผู้นำ “Marketing Tech” ของไทย


นายทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ READY เปิดเผยว่า การเข้ามาระดมทุนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการขายและการตลาดดิจิทัลในประเทศไทย” สนับสนุนธุรกิจไทยให้เติบโตด้วยแพลตฟอร์มการขายและการตลาดระดับโลก ภายใต้ค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า สนับสนุนให้องค์กรลูกค้าได้ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเติบโตทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านยอดขาย การขยายฐานลูกค้า และการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า

ทั้งนี้ READY คือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัลแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว หรือ Readyplanet All-in-One Platform ที่ครอบคลุมด้านเว็บไซต์ (Website), โฆษณาออนไลน์ (Online Advertising), ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และ ระบบจองโรงแรมโดยตรง (Hotel Direct Booking) โดยให้บริการผ่านแพลตฟอร์มที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา ซึ่งนับเป็นแพลตฟอร์มของคนไทยที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งในปัจจุบัน

โดย READY วางเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “Readyplanet All-in-One Platform” ให้เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่ต้องการประสิทธิภาพด้านการขายและการตลาด ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหลัก 3 ด้าน คือ การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) การตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) และ การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) รวมถึง ให้ความสำคัญกับการให้บริการที่มีคุณภาพกับลูกค้า โดยเฉพาะบริการหลังการขาย ทำให้ READY เป็นอีกธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะยุคหลังโควิด การตลาดดิจิทัลยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้วางแผนนำไปใช้สำหรับ 1) ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ Readyplanet All-in-One Platform รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ 2) ใช้สำหรับขยายทีมขายและทีมการตลาดในการหาลูกค้าใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้า และนำเสนอบริการเพิ่มจากฐานลูกค้าปัจจุบัน และ 3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต

ด้าน นายอมร พิริยะแพทย์สม Executive Vice President บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ READY เปิดเผยว่า หลังจาก READY ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)

โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 35,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 35% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเสนอขายภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย READY จำนวน 15,000,000 หุ้น คิดเป็น 15% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Darlex Limited (DARLEX) จำนวน 20,000,000 หุ้น คิดเป็น 20% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเสนอขายภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้

ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจ (Sector) เทคโนโลยี (Technology) ภายในปี 2566

พร้อมชูจุดเด่น READY อยู่ในธุรกิจที่เป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่ มีความแข่งแกร่งด้วยทีมผู้บริหาร และนายทรงยศ คันธมานนท์ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อีคอมเมิร์ซ และการตลาดดิจิทัล ผ่านการให้บริการมากว่า 22 ปี ได้รับการยอมรับจากพันธมิตรซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก เช่น Google, YouTube, Facebook และ TikTok เป็นต้น ขณะที่ทีมงานมีการพัฒนา Readyplanet All-in-One Platform เพื่อตอบโจทย์ด้านการขายและการตลาดดิจิทัลแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว (All-in-One Platform) ทำให้บริษัทฯ ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องการพึ่งพิงแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ของผู้พัฒนาจากต่างประเทศ

ด้านผลการดำเนินงานต่อเนื่องและมีฐานะการเงินที่มั่นคง โดยบริษัทฯ มีรายได้มากกว่า 95% เป็นรายได้ลักษณะ Recurring จากบริการที่เป็นรูปแบบเช่าใช้ และมีฐานลูกค้าเป็นจำนวนมากในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯ ไม่เกิดการพึ่งพิงลูกค้ารายใดรายหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับผลประกอบการของ READY ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 118.21 ล้านบาท เติบโต 12.03% และมีกําไรสุทธิ  13.59 ล้านบาท เติบโต 189.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายเป็นไปในทางที่ดีขึ้น และบริษัทสามารถดำเนินงานได้ตามกลยุทธ์ที่ได้วางไว้

Back to top button