“ชัยยศ” แนะเก็บหุ้นดี-งบสวยติดพอร์ต ชู ADVANC-BDMS

“ชัยยศ จิวางกูร” ชี้ดัชนียังแกว่งตัวในกรอบ 1,530-1,550 จุด ช่วงรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แนะนักลงทุนหาหุ้นพื้นฐานดี-งบสวยติดพอร์ต คัด ADVANC-BDMS ยังเด่น


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีจำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (17 พ.ค.66) ว่าจากความกังวลของการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่มีความแน่นนอน ประกอบกับปัญหาการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐที่ยังต้องติดตามอยู่ อาจทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ แต่อาจสลับย่อลงได้บ้าง อย่างไรก็ตามมองว่าก็มีโอกาสเห็นแรงซื้อเข้ามาในหุ้นรายตัวที่พื้นฐานดี และงบการเงินที่จะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ดัชนีมีโอกาสรีบาวด์ได้ในกรอบ 1,530-1,550 จุด หรือจะบวก/ลบราว 10 จุด

ส่วนของกลยุทธของการลงทุน เน้นหุ้นผลประกอบการดีแต่อาจจะได้รับผลกระทบในเรื่องของเซนติเม้นต์ จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้  ซึ่งหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนในช่วงนี้มีอยู่ 2 หุ้นด้วยกัน ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)  หรือ ADVANC และ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ซึ่งสำหรับหุ้น ADVANC ในไตรมาสแรกนั้นผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี การจ่ายปันผลอยู่ที่ระดับ 4% แต่เนื่องจากผลการเลือกตั้งล่าสุดที่ผ่านมาค่อนข้างน่าผิดหวัง ส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมา มีการคาดว่ากำไรจะสามารถเติบโตได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ จะส่งผลให้ยอดการใช้มือถือหรือตัว Data Internet เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในเรื่องของแบรนด์ TrueMove H และ dtac ที่ควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ทำให้การแข่งขันทางธุรกิจนี้น่าจะลดลง โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ 250 บาท

ขณะที่ BDMS  ก็เช่นเดียวกัน หลังจากผลการเลือกตั้งล่าสุด เกิดการมีแรงขายหุ้นเข้ามา ผลลัพธ์ในไตรมาสแรกนั้นออกมาดี ส่วนแนวโน้มของหุ้นที่เหลือในปีนี้นั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะว่าเกี่ยวข้องในเรื่องของผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 37 บาท

นายชัยยศ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากหุ้นทั้ง 2 ตัวที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีหุ้นประเภทไฟฟ้าที่มีการลดลงเกิดขึ้นก่อนหน้า โดยหุ้นประเภทไฟฟ้านั้นโดนส่งผลกระทบค่อนข้างตรง สืบเนื่องจากนโนบายของพรรคก้าวไกลนั้นมีการปรับลดค่าไฟลงอยู่ที่ 70 สตางค์/หน่วย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก ส่งผลต่อการลงทุนโดยตรง  ทั้งนี้แนะว่าให้รอดูความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบไหน อีกทั้งยังกล่าวว่า ค่า FT นั้นมีผลแต่มีผลไม่เท่ากัน และในส่วนของ GPSC, BGRIM ต่างก็โดนผลกระทบประมาณหนึ่งเช่นกัน

นอกจากนี้ในส่วนของ “เฟด” (Fade Gida Yatirim Sanayi Ticaret AS) ผลลัพธ์ของภาพรวมคือตัวดอกเบี้ยยังขึ้นต่อเนื่อง เพราะต้องกดเงินเฟ้อลง แน่นอนว่าตัว Fund Flow ก็จะมีการผันผวนเกิดขึ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของ Fund Flow ต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่องจำนวน 7.16 หมื่นล้านบาท โดยจากในปี 2565 ซื้อสุทธิจำนวน 2 แสนล้านบาท เรียกได้ว่ามีการขายออกมาเกือบครึ่งหนึ่งของที่ซื้อไป เพราะฉะนั้นจึงทำให้ภาพรวม Fund Flow มีแนวโน้มที่จะผันผวนต่อ

รวมทั้งถ้าหาก “เฟด” ยังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก จะส่งผลให้ผลต่างของอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยและต่างประเทศเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ดังนั้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์ คือ กลุ่มส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ กลุ่มอาหารและกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนที่เสียผลประโยชน์ คือ กลุ่มพลังงานไฟฟ้าและกลุ่มน้ำมัน เนื่องจากมีหนี้สิน US ค่อนข้างเยอะ

ส่วนทางหุ้นกลุ่มธนาคาร นายชัยยศมองว่าไตรมาส 2/2566 นั้นยังมีผลลัพธ์ที่ดีต่อเนื่อง สามารถเลือกเข้าซื้อหุ้นได้ ในช่วงที่มีการอ่อนตัวลง  ขณะที่หุ้นใหญ่ในช่วงนี้ค่อนข้างที่จะแกว่งแคบ จะไม่เหมาะกับการเก็งกำไร และบาง Setter นั้นจะลดลง เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังในการซื้อและรอรอบการรีบาวด์ใหม่

นายชัยยศกล่าวทิ้งท้ายว่า ผลการเลือกตั้งนั้นมีผลต่อการลงทุนมาก เนื่องจากเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งต้องรอสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันผลการเลือกตั้งในช่วง 60 วันถัดจากนี้ไป หลังจากนั้นประมาณช่วงเดือนสิงหาคมจึงจะได้รัฐบาลชุดใหม่ที่แน่นอนเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งตอนนี้ผลการเลือกตั้งยังไม่แน่นอน และทางพรรคก้าวไกลจะรวบรวมคะแนนเสียงเข้าไปต่อสู้กับสว.ได้หรือไม่ ต้องรอติดตามกันต่อไป

Back to top button