SABINA รับอานิสงส์ขึ้นค่าแรง หนุนยอดขายพุ่ง ดันอัตรากำไรสุทธิโตต่อเนื่อง

SABINA มั่นใจยอดขายครึ่งปีแรกตามเป้าหมาย พร้อมเดินหน้ารักษาการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง มองมุมบวกประเด็นขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น


นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ โดยพบว่า ยอดขายในช่องทางค้าปลีก (Retail) ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าและซาบีน่า ช็อปนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติในห้างค้าปลีก เช่นเดียวกับยอดขายในช่องทางออนไลน์ (NSR – Non Store Retailing) ที่เพิ่มขึ้นในช่องทางขายผ่านทีวี ขณะที่ยอดขายในช่องทางรับผลิต (OEM) ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 10% ของช่องทางขายทั้งหมดนั้น ทิศทางยังสอดคล้องกับสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรป

“เรายังติดตามยอดขายจากช่องทางต่างๆ อย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ในแต่ละช่องทางขายให้เหมาะสมกับภาพรวมในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากห้างค้าปลีก หรือช่องทางออนไลน์ทางทีวี รวมถึงช่องทางรับจ้างผลิตที่ชะลอตัว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปรับลดลงบ้าง แต่เป้าหมายหลักของเราอยู่ที่การทำให้ “อัตรากำไรสุทธิ” หรือ Net Profit Margin (NPM) ซึ่งสะท้อนความสามารถในการทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรายังทำตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพจากช่วงก่อนเกิดโควิดในปี 2562 ที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12% ล่าสุดในไตรมาส 1/2566 อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 13.4% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งตอบโจทย์การสร้างกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ SABINA ได้เป็นอย่างดี” นางสาวดวงดาว กล่าว

สำหรับประเด็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่หลายฝ่ายมีความกังวลนั้น SABINA มีมุมมองเชิงบวก เนื่องจากการปรับค่าแรงจะทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ขณะเดียวกัน SABINA อยู่ในธุรกิจรีเทล ซึ่งได้รับผลบวกทางตรงจากการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ อาจจะต้องเตรียมแผนกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มเติมเมื่อการปรับค่าแรงขั้นต่ำมีผลบังคับใช้ ส่วนกรณีที่มีการประเมินว่าต้นทุนของบริษัทฯ จะสูงขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ปี 2565 ด้วยการลงทุนด้านเครื่องจักรที่มีความทันสมัย

โดยในปี 2566 วางแผนใช้งบประมาณในส่วนนี้ราว 50 ล้านบาท จากเดิมที่ใช้งบประมาณเพียงแค่ 10-20 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันปัจจุบัน จำนวนพนักงานของบริษัทฯ ลดลงราว 1 พันคน ซึ่งเป็นผลจากช่วงโควิด-19 ที่พนักงานบางส่วนตัดสินใจออกจากระบบแรงงาน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเรื่องการขึ้นค่าแรง ถ้ามองปัจจัยบวก คือ ยังคงอยู่ในธุรกิจรีเทล ดังนั้น ปัจจัยบวกสำหรับเรื่องนี้คือ ยอดขายอาจจะสูงขึ้น เพราะคนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพขึ้น ใช้นวัตกรรมการผลิต และสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าในบางเซกเมนต์ได้ ซึ่งก็จะทำให้เรายังสามารถรักษาการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิไว้ได้

นอกจากนี้ ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ SABINA มีแผนที่จะออกสินค้าใหม่ในกลุ่มสินค้ายั่งยืน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นสินค้าในอิงเทรนด์รักษ์โลกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันในไตรมาส 3/2566 จะเริ่มมีกิจกรรมและอีเว้นท์ในประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนใน Moda SBN ในฟิลิปปินส์ ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีก และเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) สินค้าแบรนด์ “ซาบีน่า” ในประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 77% ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้ตามสัดส่วนเต็มไตรมาสในไตรมาส 2/2566 ของปีนี้ ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเป็นช่วงที่กิจกรรมต่างๆ คึกคักขึ้นและมีสีสันมากยิ่งขึ้น

Back to top button