พรีวิวงบ “อสังหาฯ-รับเหมา” Q2 ลุ้นกำไรโตเด่น ชู 7 หุ้นท็อปพิก CK-SIRI นำทีม

พรีวิวงบ “อสังหาริมทรัพย์-รับเหมาก่อสร้าง” ไตรมาส 2/66 คาดกำไรโตเด่น โบรกฯชู 7 หุ้นท็อปพิกกลุ่ม CK-STEC-SEAFCO-SIRI-ORI-SC-AP  


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยฯจะมานำเสนอทิศทาง OUTLOOK ผลประกอบการไตรมาส 2/66 รายอุตสาหกรรม โดยครั้งนี้จะนำเสนอดังนี้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/66 เติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโตเทียบไตรมาส 1/66 โดยระบุไว้ดังนั้น

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แม้บริษัทรับเหมาฯยังมีการดำเนินงานก่อสร้างโครงการที่ต่อเนื่องมาจากงวดไตรมาส 1/66  แต่จำนวนวันทำงานที่น้อยลง ทำให้การรับรู้รายได้ในงวดไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66

อย่างไรก็ตามหากเทียบกับช่วงไตรมาส 2/65 ที่หลายบริษัทยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน เชื่อว่าจะเห็นรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้านอัตรากำไร โดยปกติในระหว่างปีบริษัทรับเหมามักจะไม่ได้มีการปรับประมาณการ Budget งานก่อสร้าง อีกทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้างสำคัญอย่างปูนซีเมนต์แทบไม่ได้ปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2/66 เทียบกับไตรมาส 1/66

ส่วนราคาเหล็กเส้นปรับลดลงประมาณ 5-10% เทียบไตรมาสก่อนหน้าจึงคาดว่าอัตรา gross margin โดยเฉลี่ยของกลุ่มรับเหมาฯ น่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 โดยบริษัทที่คาดว่าจะทำกำไรเด่นในไตรมาส 2/66 คือ

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ราคาเหมาะสม 27 บาท เพราะไตรมาสนี้จะได้รับเงินปันผลจาก TTW เข้ามา 232 บาท บวกกับส่วนแบ่งกำไรตามส่วนได้เสียจาก BEM ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนและรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึง

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ราคาเหมาะสม 13 บาท ที่จะรับรู้เงินปันผลจาก GULF และ TSE เข้ามาประมาณ 150 ล้านบาท

บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 4.92 บาท ที่จะมีการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่ในงวดไตรมาส 2/66 ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ทางยกระดับพระราม2-บ้านแพ้ว และโครงการ North Pole ในเครือ Central ทำให้กำไรน่าจะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 และ Turnaround เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/65 ที่มีผลขาดทุน

ด้านกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย คาดกำไรไตรมาส 2 เติบโตเทียบไตรมาสก่อนหน้า และลดลงเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย คาดการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/66 ของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ ที่ฝ่ายวิจัยศึกษารวม 15 แห่ง จะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้นเทียบไตรมาส 1/66 จากการโอนกรรมสิทธิ์ของงานในมือ(Backlog) สิ้นไตรมาส 1/66 ที่มีอยู่ราว 2 แสนล้านบาท (ของ15 บริษัท) และมีกำหนดรับรู้รายได้ 9 เดือน 2566 ราว 1.1 แสนหมื่นล้านบาท (รวม JV) เป็นกลุ่มแนวราบ 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป บวกกับยอดขายไตรมาส 2/66 ที่บางส่วนแปลงเป็นยอดโอนฯตลอดจนมีการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่

อย่างไรก็ดีหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดกำไรปกติอ่อนตัวลง ตามการโอนที่ลดลงเป็นหลักส่วนหนึ่งจากการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ที่มีช่วงเวลาแตกต่างกัน หากพิจารณาการดำเนินงานรายบริษัท พบว่ามีการเติบโตแตกต่างกันไป เบื้องต้นคาด

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน หรือ LH เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มฯ คือกำไรเพิ่มขึ้นเทียบไตรมาส 1/66 แต่ลดลงเทียบไตรมาส 2/65 โดย SPALI จะฟื้นตัวสูงจากฐานกำไรต่ำไตรมาส 1/66 และมีการส่งมอบคอนโดฯใหม่ 1 โครงการ ส่วน LH แม้กำไรจะดีขึ้นเทียบไตรมาส1/66 แต่ในอัตราปานกลาง และกำไรยังอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกัน บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP จะเพิ่มขึ้นเทียบไตรมาส 1/66 (ทรงตัว เทียบไตรมาส 2/65)

สำหรับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN คาดกำไรลดลงเทียบไตรมาส 2/65 และไตรมาส 1/66 เนื่องจากการขาดหายไปของการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ สวนทางกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI, บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC และ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ที่ประเมินกำไรเพิ่มขึ้นทั้งเทียบไตรมาส 1/66 และเทียบไตรมาส 2/65

โดย ORI ได้อานิสงค์จากการโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดฯ ใหม่หลายโครงการ ขณะที่ SIRI, SC และ QH จากการรับรู้รายได้ต่อเนื่องของ Backlog แนวราบ รวมถึงการขายโอนฯ บ้านระดับบนที่เพิ่มขึ้นของ SIRI และ SC ส่วนบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN คาดยังมีผลขาดทุน เนื่องจากถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายขายบริหารและดอกเบี้ยจ่ายที่สูง

ทั้งนี้คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯเลือกหุ้นเด่นที่มีพื้นฐานดี, แนวโน้มกำไรปกติทำนิวไฮ(New High) ต่อเนื่องในปีนี้ และปันผลจูงใจ โดยเรียงลำดับดังนี้ คือ SIRI ราคาพื้นฐาน 2.32 บาท มีความโดดเด่นในเรื่องผลประกอบการไตรมาส 2/66ที่จะเติบโตเทียบไตรมาส 2/65 และเทียบไตรมาส 1/66 ทั้งในเชิงกำไรปกติและกำไรสุทธิ รวมถึงแนวโน้มครึ่งหลังปี 66 จะดีกว่า ครึ่งแรกปี 66 และประมาณการกำไรปกติปีนี้มีโอกาสเปิดอัพไซด์ตลอดจนคาดปันผลระหว่างกาลครึ่งแรกปี 66 ที่สูงเฉลี่ย 4%

ตามด้วย ORI ราคาพื้นฐาน 13.15 บาท และ SC ราคาพื้นฐาน 5.10 บาท คาดปันผลครึ่งแรกปี 66 เฉลี่ยอย่างน้อย 2% ขณะที่แผนเปิดโครงการใหม่เชิงรุกจะหนุนต่อแนวโน้มครึ่งหลังปี 66 ส่วน AP ราคาพื้นฐาน 15.50 บาท แม้ไม่มีปันผลระหว่างกาล (นโยบายจ่ายปีละ 1 ครั้ง) แต่ยังน่าสนใจจากทิศทางกำไรจะไต่ระดับเป็นขั้นบันไดในทุกไตรมาสของปีนี้ และเติบโตดีเทียบไตรมาส 2/65 และเทียบไตรมาส 1/66 รวมทั้งในไตรมาส 3-4/66 รวมถึงปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี

Back to top button