เปิดหุ้น “รับ-เสีย” ประโยชน์! สงคราม “อิสราเอล-ฮามาส”

โบรกชี้ PTTEP รับประโยชน์สุด ขณะที่ ERW-CENTEL-SHR-MINT-AOT-BAFS-TU-AAI-BH-BDMS เสียประโยชน์! จากความตึงเครียดที่สูงขึ้นจากสงครามกลุ่มติดอาวุธฮามาสในปาเลสไตน์เปิดฉากโจมตีอิสราเอล


เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มติดอาวุธฮามาส (Hamas) ในปาเลสไตน์เปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว โดยระดมยิงจรวดหลายพันลูกจากฉนวนกาซา พร้อมทั้งส่งกองกาลังติดอาวุธหลายสิบคนแทรกซึมเข้าไปโจมตีในหลายเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล พร้อมจับตัวประกันไว้หลายคน

ทั้งนี้ภายหลังโฆษกกลุ่ม Hamas อ้างเหตุผลว่า การโจมตีครั้งนี้มีขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อความโหดร้ายทั้งหมดที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญจากอิสราเอลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการกระทำของกองกำลังอิสราเอลที่บุกมัสยิดอัล-อักซอ (Al-Aqsa) ในนครเยรูซาเล็ม อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และการปฏิบัติที่เลวร้ายต่อนักโทษปาเลสไตน์ในเรือนจาอิสราเอล

ขณะที่ผู้นาอิสราเอลระบุว่า เวลานี้ประเทศอิสราเอลอยู่ใน ‘ภาวะสงคราม’ แล้ว และจะแก้แค้นครั้งใหญ่ ซึ่งเริ่มตอบโต้โจมตีเป้าหมายกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา นอกจากนี้ อิหร่าน (ซึ่งสนับสนุนปาเลสไตน์) ได้ออกมากล่าวว่าการกระทาของกลุ่ม Hamas ในครั้งนี้เป็นกระบวนการป้องกันตนเองโดยชาวปาเลสไตน์เท่านั้น

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านระยะเวลาและขอบเขตการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ในครั้งนี้ คาดว่าเหตุการณ์นี้จะสนับสนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นให้สูงขึ้นได้หากว่าสงครามในครั้งนี้ลามไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและ US ซึ่งอาจส่งให้การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์และการความบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านได้รับผลกระทบ ในขณะเดียวกัน มองว่าผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์ (soft commodities) อื่นๆจะมีจำกัด เนื่องจากอิสราเอลไม่ใช่ประเทศส่งออก soft commodities หลัก

สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลางและมีโอกาส outperform SET มากสุด ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 180.00 บาท คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นโดยบริษัทมีสัดส่วนปริมาณน้ำมันดิบคิดเป็นประมาณ 27%-30% ของปริมาณยอดขายรวม และเชื่อว่าปริมาณขายเฉลี่ยจะกลับมาฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้ในไตรมาส 4 ปี 2566 หลักๆจาก 1) ปริมาณขายเฉลี่ยของโครงการ G1/61 ที่สูงขึ้น และ 2) การกลับมาดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ G2/61

ขณะที่หุ้นและอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจาก “ความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลาง” 1) กลุ่มพลังงาน ซึ่งมองว่าจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น โดยคาดว่าหากสงครามยืดเยื้อและมีการลามไปถึงความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลาง ก็จะสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบยืนสูงได้ต่อเนื่อง มองว่าหุ้นที่รับประโยชน์มากที่สุดต่อข่าว คือ PTTEP

ส่วนหุ้นและอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จาก “ความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลาง” 1) กลุ่มท่องเที่ยว มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยจากการได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่มีโอกาสลดลงได้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 1.6 แสนคน เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 17.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 0.9% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้ออาจจะกระทบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลรวมถึง Middle east ด้วย ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้รวมกันอยู่ที่ 5.7 แสนคน หรือคิดเป็น 3.2% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

โดยกลุ่มท่องเที่ยวที่มองว่าจะมีผลกระทบมากที่สุดเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทย ได้แก่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 3.00 บาท, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท

รวมถึงกลุ่ม Aviation อย่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 84.00 บาท นอกจากนี้ยังกระทบต่อ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท

2) กลุ่ม Agri & Food-related มีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากอิสราเอลไม่ใช่ประเทศส่งออก softcommodities หลักทำให้มองว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังไม่ได้กระทบในด้านต้นทุนราคา ขณะที่ในด้านการส่งออกจากไทยไปอิสราเอล ปัจจุบันไทยมีการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป แต่สัดส่วนการส่งออกยังต่ำคิดเป็นราว 2% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปรวม โดยหุ้นที่ cover ปัจจุบันจะมี AAI ที่มีการส่งออกทูน่ากระป๋องไปตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงอิสราเอล แต่เชื่อว่าสัดส่วนรายได้ส่งออกไปอิสราเอลปัจจุบันน้อยกว่า 5% ของรายได้รวม

ทั้งนี้สำหรับกลุ่ม Agri & Food-related ปัจจุบันคงน้ำหนัก “Neutral” และ Top pick ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือTU แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท และ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท

3) กลุ่ม Healthcare มีมุมมองเป็นกลาง โดยมองว่าผลกระทบจำกัด เนื่องจากคนไข้หลักอยู่ในกลุ่มตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดิอะระเบีย, กาตาร์ และคูเวต ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวแต่กรณีหากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือรุนแรงมากขึ้น อาจมีผลกระทบต่อการเดินทางกลุ่มตะวันออกกลางได้ โดยกลุ่มโรงพยาบาล ยังชอบ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 300.00 บาท) และ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 37.50 บาท

Back to top button