“เกียรตินาคินภัทร” อัพกำไร PTTEP ปีนี้แตะ 8.14 หมื่นล้าน เป้าใหม่ 192.50 บาท

PTTEP บล.เกียรตินาคินภัทร อัพราคาเป้าหมายใหม่ 192.50 บาท จากเดิม 182 บาท ลุ้นครึ่งปีหลังกำไรโตแกร่ง รับแรงส่งราคาน้ำมันดิบยืนสูง 91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปีนี้ขึ้นอีก 13.4% มาอยู่ที่ 8.14 หมื่นล้านบาท


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (24 ต.ค.66) ว่า บล.เกียรตินาคินภัทร ปรับราคาเป้าหมายของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ขึ้นอีก 5.8% จากเดิม 182 บาท เป็น 192.50 บาท หลังจากปรับประมาณการกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น โดยยังคงมุมมองระยะยาวต่อราคาน้ำมันดิบเบรนต์ไว้ที่ 70 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหลังจากผลประกอบการในครึ่งปีแรกดีขึ้น เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิจากการดําเนินงานหลังหักภาษี (NPAT) ขึ้นอีก 13.4% มาอยู่ที่ 8.14 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ตลาดน้ำมันโลกจาก BofA มีการปรับเพิ่มคาดการณ์เฉลี่ยน้ำมันดิบเบรนต์ ในปี 2566 ขึ้นจากเดิม 82 เหรียญ/บาร์เรล มาเป็น 85 เหรียญ/บาร์เรล โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังนี้ที่คาดว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับสูงราว 91 เหรียญ/บาร์เรล นอกจากนั้นแล้ว PTTEP ยังรับรู้รายได้จากราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีแรก 2566 ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 76 เหรียญ/บาร์เรล และทางฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าราคาขายทั้งปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 82 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนคาดการณ์ราคาก๊าซเพิ่มขึ้นจาก 5.6 เหรียญ/ล้านบีทียู เป็น 6.0 เหรียญ/ล้านบีทียู

สำหรับปี 2567 กำไรสุทธิจากการดําเนินงานหลักหลังหักภาษี (core NPAT) คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม 6.2 หมื่นล้านบาท ไปเป็น 7.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งการรับรู้รายได้จากราคาขายน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนการเติบโตดังกล่าว นอกจากนั้นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 90 เหรียญ ในปี 2567 ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ 85 เหรียญ/บาร์เรล สูงขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ 75 เหรียญ/บาร์เรล

อีกทั้งยังปรับเพิ่มปริมาณการผลิตของ PTTEP ขึ้นอีก 7% เป็น 510,000 บาร์เรล/วัน ในปี 2567 เพื่อสะท้อนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งเอราวัณ และโครงการอื่น ๆ ในเมียนมาร์ และไทย ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้คาดการณ์กำไรอยู่ในระดับที่สูงของประมาณการจากโบรกอื่น ๆ ในตลาด โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2566 จะอยู่ที่ 8.14 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น KKPS จึงยกให้ PTTEP เป็นบริษัทที่เด่นที่สุดในกลุ่มพลังาน แม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการควบคุม ปรับลดราคาต่าง ๆ ในกลุ่มพลังงาน แต่การเข้าแทรกแซงในธุรกิจพลังงานต้นน้ำนั้นยังจำกัด และเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอิงตามสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจึงจะเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จากเงินสดที่ถืออยู่ ณ สิ้นไตรมาส 2/66 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะเป็นบวกต่อกำไรของบริษัท (เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทมีอัตราดอกเบี้ยคงที่) และกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ดี หลังจากที่การเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ และการได้มาซึ่งสินทรัพย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ช่วยเสริมแกร่งให้กับฐานะการเงินของ PTTEP และทำให้อยู่ในสถานะที่สามารถเข้าซื้อกิจการหรือสินทรัพย์ได้อีกในอนาคน

Back to top button