เปิดโผ 7 หุ้นโบรกฯอัพกำไรปี 66-67-พ่วงเป้าใหม่ อัพไซด์สูง

คัด 7 หุ้นพื้นฐานแกร่ง! SAT-TTW-OR-OSP-SUN-MTC-TIDLOR โบรกฯอัพกำไรปี 66-67 พ่วงเป้าใหม่ อัพไซด์สูงสุด 46% หลังโชว์งบไตรมาส 3/66 โตเด่น ลุ้นไตรมาส 4/66 เด่นต่อ จับตาผลงานปี 66 เข้าเป้าตามแผน


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเน้นหุ้นที่โบรกเกอร์ชั้นนำของไทยทำการวิเคราะห์และได้ปรับประมาณการณ์กำไรปี 2566-2557 และอัพราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นมานำเสนอ เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 ออกมาแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มทำผลงานในปีนี้และปีหน้าโดดเด่น

สำหรับกลุ่มหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวได้ทำการสำรวจจากบทวิเคราะห์บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ล่าสุดในเดือนพ.ย.2566 โดย พบว่ามีหุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้งหมด 9 ตัวดังนี้

บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 ดีกว่าคาด จาก GPM ที่ดีขึ้น, ไตรมาส 4/66 จะโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดดเด่น โดยปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายโดย rollover เป็นปี 2567 ที่ 20.50 บาท (จากเดิม 19.00 บาท)  จากกำไรที่ดีกว่าคาดและปรับประมาณการกำไรขึ้น

ทั้งนี้ SAT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 263 ล้านบาท โต 2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 18% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่า consensus และเราทำไว้ที่ 243 ล้านบาท และ 233 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักเป็นผลจาก GPM ที่ดีขึ้นเป็น 19.0% เทียบไตรมาส 3/65อยู่ที่ 18.7% และไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 18.0% ดีกว่าที่เราทำไว้ที่ 18.0% จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และต้นทุนค่าไฟฟ้าและเหล็กที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากบริษัทใหม่ STRON ไม่สูงเหมือนที่ทำไว้

ดังนั้น ส่งผลให้9 เดือนแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิ 761 ล้านบาท โต 4%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับประมาณการกำไรปกติ2566 และปี2567 ขึ้น  4% และ 5% เป็น 1 พันล้านบาท 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.1 พันล้านบาท โต 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับกำไรไตรมาส 4/66 จะเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดดเด่น จากการรับรู้รายได้คำสั่งซื้อใหม่เต็มไตรมาส และต้นทุนที่ลดลงจากฐานสูงในปีก่อน ส่วนปี 2567 จะยังคงได้ผลบวกจากคำสั่งซื้อใหม่ที่รับรู้รายได้เต็มปี, ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรที่จะดีขึ้นจากฐานต่ำและสถานการณ์เอลนีโญที่จะดีขึ้น รวมถึง STRON จะมีการส่งมอบรถสามล้อไฟฟ้า (E Tuk) ได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 20.50 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 17.40 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 17.71%

บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW แนะนำถือปรับเป้าขึ้นเป็น 9.70 บาท ไตรมาส 3/66 ตามคาด และไตรมาส 4/66 ชะลอจากราคาขายน้ำ PTW และกำไร CKP ลดลงคงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 9.70 บาท จากเดิม 9.20 บาท โดยหลักจากการรวมมูลค่าสัมปทานใหม่ของ บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW)

ทั้งนี้ TTW รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 897 ล้านบาท ลดลง 7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 44% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ใกล้เคียง consensus คาด โดยชะลอตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากส่วนแบ่งกำไร CKP หดตัว 30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบ El Nino ทำให้ผลิตกระแสไฟฟ้าลดลง แต่ถูกชดเชยบางส่วนโดยรายได้ธุรกิจจำหน่ายน้ำประปาปรับตัวขึ้น อานิสงส์ราคาขายน้ำสูงขึ้นตาม CPI ขณะที่กำไรโต เทียบไตรมาสก่อนหน้า หลักๆหนุนโดยส่วนแบ่งกำไร CKP ขยายตัวสูงจากการเข้าสู่ช่วง peak season ของปี ปรับกำไรสุทธิปี 2566 ลงเล็กน้อย 3% เป็น 2.7 พันล้านบาท(ลดลง 10%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)

ขณะที่ปรับกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 21% เป็น 2.5 พันล้านบาท (ลดลง 8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆ เพื่อสะท้อนการขยายสัมปทานใหม่ของ PTW

สำหรับไตรมาส 4/66 ประเมินกำไรจะชะลอตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากฐานราคาขายน้ำใหม่ของ PTW ลดลงและส่วนแบ่งกำไร CKP ชะลอตัวจากผลกระทบ El Nino และตามปัจจัยฤดูกาลราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทั้งนี้เมื่อเทียบราคราคาเป้าหมาย 9.50 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 8.95 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 6.14%

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 22.00 บาท (เพิ่มจาก 21.00 บาท) โดย OR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่แข็งแกร่งที่ 5.2 พันล้านบาท โต 638% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 88% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) หากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานกำไรปกติเข้ามาที่ 4.7 พันล้านบาท โต 508% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 83% เทียบไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าตลาดและเราคาด 29%/78% โดยสูงกว่าที่เราคาดหลักๆจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่สูงกว่าคาด ในขณะที่รายได้ของธุรกิจ Lifestyle และปริมาณขายน้ำมันในต่างประเทศของธุรกิจ Global ออกมาใกล้เคียงที่คาด

ทั้งนี้แม้เราคาดว่ากำไร ไตรมาส 3/66 จะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ แต่เราคาดว่าจะยังเห็นการเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ของกำไรไตรมาส 4/66 หนุนโดยปริมาณขายน้ำมัน นอกจากนี้ เห็นความเสี่ยงด้านนโยบาย (regulatory risk) ที่จำกัดมากขึ้นหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ รวมถึงราคาดีเซลมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.2566

ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 42% เป็น 1.36 หมื่นล้านบาท และปี 2567 ขึ้น 5% เป็น 1.21 หมื่นล้านบาท) ทั้งนี้แม้เชื่อว่ากำไร ไตรมาส3/66 น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้แล้ว แต่คาดว่ากำไร ไตรมาส 4/66 จะยังโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ตามกำไรที่สูงขึ้นของธุรกิจ Mobilityในขณะที่ธุรกิจ Lifestyle น่าจะเห็นรายได้ที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 22.00 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 18.10 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 21.54%

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP โบรกฯคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 35.00 บาท (เดิม 32.00 บาท โดย OSP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 642 ล้านบาท โต 163% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 17% เทียบไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าตลาดคาด 13% และเราคาด 15% จาก GPM ที่ดีกว่าคาด

โดยกำไรขยายตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1) รายได้รวมขยายตัว 2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก Domestic beverage โต 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, 2) GPM ขยายตัวจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงแก้วอย่างต่อเนื่อง ด้านกำไรสุทธิที่ขยายตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า แม้เป็น low seasonส่งผลจาก GPM ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและ SG&A expenses ที่ลดลง

ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 12% สะท้อน GPM ที่ดีกว่าคาดเป็น 2,752ล้านบาท (โต 42% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่คงประมาณการปี 2567 ที่ 3,114 ล้านบาท (โต 13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกมีสัดส่วนที่ 71% ของประมาณการปี 2566 ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 35.00 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 23.90 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 46.44%

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN โบรกคงแนะนำ “ซื้อ”ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.00 บาท โดย SUN รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 84 ล้านบาท โต 161% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 39% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) สูงกว่าตลาดคาดที่ 73 ล้านบาท และเราคาดที่ 47 ล้านบาท จากรายได้ที่สูงกว่าคาดจากการวางแผนวัตถุดิบที่ดี และ FX loss ที่ต่ำกว่าคาดกำไรขยายตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า

โดยมาจาก 1) รายได้รวมขยายตัว 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, และ 8% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, 2) GPM ที่ 20.2% ทรงตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อยเทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 3) FX loss -26 ล้านบาท (ไตรมาส 2/66 Fx loss = -42 ล้านบาท และเทียบไตรมาส 3/65 ที่ -53 ล้านบาท) จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66-67 ขึ้น 14% และ 2% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนรายได้ที่สูงกว่าคาด

ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 66 ที่ 280 ล้านบาท (โต 124%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และปี 67 ที่ 324 ล้านบาท (โต 16%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทั้งนี้กำไร 9 เดือน 66 มีสัดส่วนที่ 85% ประมาณการปี 66 โดยไตรมาส 4/66 เป็น low season

ส่วนราคาหุ้น underperform SET-4% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่สะท้อนผลประกอบการที่ฟื้นตัวแบบ Vshape ชอบ SUN จาก valuation ที่ไม่แพงโดยเทรดที่ 2023E PER 10.5 เท่า เทียบกับกำไรฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญปี 65-67 โดย EPS CAGR เฉลี่ยที่ 61% ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 6.00 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 4.64 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 29.31%

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC โบรกปรับขึ้นเป็นซื้อ“ซื้อ” จากเดิม “ขาย” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 48.00 บาท บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 1.29 พันล้านบาท โต 7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าตลาดคาดโต 7% จาก 1) cost to income ที่ต่ำเพียง 45% จากคาดว่าจะทรงตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าระดับสูงที่ 48% เนื่องจากการปรับลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ 2) NPL ลดลงเป็น 3.2% คาดว่าจะยังทรงตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.4% จากการตัดจำหน่ายหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นและทำให้ credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 394 bps ขณะที่ loan growth ยังเติบโตดีตามคาดที่ 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ประเมินว่า NPL ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 2/66 สังเกตจากมูลหนี้ NPL และ NPL formation ที่ปรับตัวลง 1% และ 4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ปรับกำไรสุทธิปี 2566  ขึ้น 11% เป็น 4.9 พันล้านบาท (ลดลง 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และปี 2567 ขึ้น 6% เป็น 5.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/66 จะขยายตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น, cost to income ที่ ต่ำ และ credit cost ที่จะลดลง ตาม NPL ที่หดตัว ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 48.00 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 41.75 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 14.97%

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โบรกแนะซื้อปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 28.00 บาท (เดิม 25.00 บาท) จากการ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 บริษัทรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/66 ทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ 1.0 พันล้านบาท (โต 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) เป็นไปตามตลาดคาด จาก 1) สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องโต 16% เทียบตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หนุนโดยการกลับมาเปิดสาขาใหม่จากที่ชะลอตั้งแต่ไตรมาส 4/65  และจำนวนผู้ใช้ TID LOR Card ที่เพิ่มขึ้น, 2) รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันเพิ่มขึ้น 25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, และเพิ่มขึ้น 6% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, 3) credit cost ปรับตัวลงเป็น 304 bps จาก NPL ที่ทรงตัวที่ 1.5% (ต่ำกว่าว่าที่เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6%) ทั้งนี้ให้ข้อสังเกตต่อ NPL formation ที่เพิ่มขึ้น เทียบไตรมาสก่อนหน้า ในอัตราที่ชะลอตัว และอัตราส่วน NPL และ NPL formation ต่อสินเชื่อรวมที่ทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า ที่ 2.2% สะท้อนถึงแนวโน้ม NPL ที่ ผ่านจุดสูงสุดในไตรมาส 3/66

คงกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 3.7 พันล้านบาท ทรงตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มเป็น 3.0% และค่าใช้จ่ายสำรองที่สูงขึ้น ที่ credit cost 319 bps ขณะที่ประเมินว่ากำไรสุทธิจะกลับมาดีขึ้นในปี 2567 ที่ 4.2 พันล้านบาท (โต 13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากสินเชื่อที่โตต่อเนื่อง 17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ทรงตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนได้

ทั้งนี้ระยะสั้นประเมินว่ากำไรสุทธิ ไตรมาส 4/66 จะเพิ่ม เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินเชื่อที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง แล ะ รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันที่สูงขึ้น แต่กำไรจะหดตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานธุรกิจประกันที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติฤดูกาล ทั้งนี้เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 28.00 บาท กับราคาหุ้นปิดล่าสุด(13 พ.ย.66) ที่ระดับ 21.10 บาท หุ้นมีอัพไซด์มากถึง 32.70%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button