“เอกภาวิน” แนะเก็บหุ้นปันผลดี พ่วงติดโผ ESG Rating

“เอกภาวิน” แนะลงทุนหุ้นปันผลดี AP- BCP- KTB พ่วงซื้อสะสม 5 หุ้นผู้นำอุตสาหกรรมติดโผ “ESG Rating” อาทิ BBL- BDMS- CPALL- PTT -SCC พร้อมให้ดัชนีแนวต้านที่ 1,390-1,400 จุด แนวรับที่ 1,375-1,370 จุด


นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ม.ค. 67) ในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ โดยในช่วงแรกคาดว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวในแดนบวกได้บ้าง เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงที่เข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามมองว่ายังขาดปัจจัยหนุน และทำให้การปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นไทยยังถูกจำกัด

โดยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่แนวต้าน 1,390-1,400 จุด และแนวรับ 1,375 -1,370 จุด และแนวรับถัดไป 1,360 จุดตามลำดับ ซึ่งมองจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ คาดว่าจะยังปรับตัวเป็นลบ ประกอบกับความไม่แน่นอนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเป็นตัวกดดันทิศทางฟันด์โฟลว์ทำให้ยังมีการไหลออกได้อยู่

โดยตลาดได้ลดน้ำหนักในการคาการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเดือน มี.ค. 67 ของเฟดลง จากการที่ประธานเฟดสาขาต่างๆ ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าว โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ขณะที่ประธานเฟดบางท่านกล่าวว่าอาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3/67 ซึ่งมีความล่าช้าเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ความตึงเครียดของสถานการณ์ทะเลแดง ทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ราคาปรับขึ้นตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องเหมือนในช่วงที่ผ่านมา โดยประเด็นดังกล่าวส่งผลให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นยังถูกจำกัด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน การเก็งกำไรมองว่ายังมีความยากลำบาก เนื่องจากตลาดยังไม่สามารถเปิดรับผลตอบแทนจากการซื้อ เนื่องจากการเคลื่อนไหวโดยรวมที่เป็นลบ

อย่างไรก็ตามถ้าเป็นลักษณะของการซื้อถือ มองว่ายังคงน่าสนใจ และคาดว่าสถานการณ์ต่างๆ ของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แม้ว่าทิศทางของตลาดหุ้นไทยในครึ่งแรกจะยังไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ยังคงมองว่าครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้น โดยให้ดัชนีของปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,650-1,700 จุด และคาดว่าจะฟื้นตัวไปหากองบนเดิม เพราะฉะนั้นการซื้อถือจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า และช่วยลดความผันผวนในระยะสั้นได้

ทั้งนี้แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีปันผลดี และกลุ่มที่มี ESG Rating ระดับ AAA หรือ AA โดยแนะนำ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่มียีลด์สูงเกิน 5%

ส่วนการซื้อสะสมลงทุนในระยะกลาง แนะนำหุ้นที่เป็นผู้นำในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA หรือ AA เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เป็นต้น

Back to top button