SJWD กางแผนปี 67 ทุ่มงบ 4.6 พันล้าน เชื่อมโครงข่าย “โลจิสติกส์” ดันรายได้โต 12%

SJWD วางกลยุทธ์ปี 67 เชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์ ทางบก น้ำ อากาศ ในระดับภูมิภาค ลุยลงทุน เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม หวังรับรู้รายได้งานบริการโลจิสติกส์โครงการปิโตรเคมี พร้อมเพิ่มศักยภาพธุรกิจห้องเย็น ออโตโมทีฟ และสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ มุ่งสู่ Net Zero ในปี 93 เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน


นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปี 2567 ของ 5 ประเทศหลักในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย มีสัญญาณการเติบโตได้ดีสะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของ 5 ประเทศดังกล่าว ที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.2% ในปีนี้

ทั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่เดินหน้าขยายธุรกิจตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า (Frieght Forwarder) และการเติบโตในอาเซียน โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์หลัก 3 ส่วนในปีนี้ คือ 1.ขยายและเชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับภูมิภาค (Regional Connectivity & Expansion) 2.เพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับธุรกิจ “คลังสินค้าห้องเย็น” และ “ออโตโมทีฟ” (Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative) และ 3.สร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New Business Opportunities) ภายใต้งบลงทุนรวมในปีนี้กว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท และวางเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เป็น 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570

สำหรับกลยุทธ์แรก Regional Connectivity & Expansion” บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 2570 โดยนับจากปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และเข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและจีน อาทิ

1.เข้าถือหุ้น 4.2% ใน บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SINO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจรรายใหญ่ โดย SINO มีปริมาณขนส่งสินค้าทุกเส้นทางรวม 46,985 ตู้ในปีที่ผ่านมา และมีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ในไทยและอันดับ 6 ของโลก

2.เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20.12% ใน บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้ประกอบการรายใหญ่ 1 ใน 3 ของเอเชียในธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าแก่สายการบินต่าง ๆ (General Sales Agent หรือ GSA) กว่า 20 สายการบิน ครอบคลุม 8 ประเทศ อาทิ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, จีน และฮ่องกง โดย ANI มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายเครือข่ายให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป, ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI ประมาณ 185 ล้านบาทในปีนี้

3.เข้าซื้อหุ้น 20.44% ใน บริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งทางรถและเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถเทรลเลอร์ (รถหัวลาก) รายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนในเส้นทางไทย – มาเลเซีย – สิงคโปร์ แก่ SJWD คาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน SWIFT ประมาณ 55 ล้านบาทในปีนี้ โดยทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวมีรายได้รวมกันในปีที่ผ่านมา มากกว่า 10,000 ล้านบาท

ขณะที่แผนการลงทุนต่อจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเข้าถือหุ้น 100% ใน บริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จาก บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนามของ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) ภายในไตรมาส 2/2567 นี้

ด้านนายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ขณะที่กลยุทธ์ที่ 2 Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative” บริษัทฯ จะใช้จุดแข็งด้านความสามารถการให้บริการ “คลังสินค้าห้องเย็น” อย่างครบวงจรแบบ End-to-End และการให้บริการโลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา

โดยปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่เปิดบริการแล้ว 6 ทำเล อาทิ สมุทรสาคร, บางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ทำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่ 1.DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้าได้ 23,000 ตัน 2.สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน และ 3. สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน 4.คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C

ส่วนธุรกิจ “ออโตโมทีฟ” (บริการจัดเก็บและบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม สะท้อนจากสถิติเดือนมกราคม 2566 – มกราคม 2567 ที่มีสถิตินำเข้าและจดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยรวม 63,250 คัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันรายใหญ่ในไทย

ทั้งนี้ ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30-35% มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นการให้บริการในพื้นที่ของบริษัทฯ 400,000 ตารางเมตร และให้บริการแบบออนไซต์ในพื้นที่ของลูกค้าอีกกว่า 472,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯ จะนำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายรวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนนำโมเดลธุรกิจออโตโมทีฟรุกให้บริการในประเทศเวียดนาม

อีกทั้ง กลยุทธ์ที่ 3 New Business Opportunities” จะโฟกัส 3 ธุรกิจ คือ 1.ธุรกิจคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความต้องการของผู้เช่า ภายใต้ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ทำเล คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนนำคลังสินค้าจัดตั้งกองรีทส์ในปีนี้

ขณะเดียวกัน จะขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียมคลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ตารางเมตรไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ด้านการให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้างรายได้แก่บริษัทฯ 70 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ MeSpace Self Storage” 112 ล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน

โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าอันดับหนึ่งที่มีจำนวน 10 สาขา เช่น สยาม, ลาดพร้าว, พระราม 9, ศรีกรีฑา, พัทยา, ภูเก็ต เป็นต้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร มากที่สุดในประเทศไทย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่เก็บของเพิ่มเติม โดยมี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ

สุดท้ายนี้ นายบรรณ กล่าวเพิ่มเติบว่าบริษัทฯ มีนโยบายดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสโคป 1 และ 2 ที่  10% ในปีนี้ และมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593  ซึ่งกิจกรรมหลักที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในปี 2567 ประกอบไปด้วย 1. Multi ModalTransportation หรือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลากหลายรูปแบบ ระหว่างการขนส่งทางรถ รางและเรือเข้าด้วยกัน, 2. Backhaul Matching หรือการบริหารรอบรถบรรทุกสินค้าเที่ยวไปและกลับ, 3.การใช้รถขนส่งเชื้อเพลิงทางเลือก โดยปัจจุบันได้นำรถขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกเข้ามาทดแทนรถขนส่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง, 4.การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ที่อาคารคลังสินค้า

5.การใช้เทคโนโลยีจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) นำมาใช้กับคลังสินค้าห้องเย็นตั้งแต่ปี 2562 สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและทดแทนการใช้รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และแผนในปี 2568 – 2570  คือการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรในระดับสากลที่ดำเนินการด้าน GHG ในกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เช่น Smart Freight Center และ Global Logistics Emissions Council (GLEC) การเข้ารับการประเมิน CSA (Corporate Sustainability Assessment) เพื่อเป็นสมาชิก S&P Global  และการเข้ารับการประเมิน “Dow Jones Sustainability Indices” หรือ DJSI สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม Transport and Transport Infrastructure เพื่อมุ่งสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนของ SCGJWD

Back to top button