“อินโนเวสท์ เอกซ์” มองตลาดหุ้นไทย Q2 เริ่มฟื้นตัว! ชี้เป้า SET ปีนี้ทดสอบ 1,550 จุด

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/67 เริ่มฟื้นตัว รับอานิสงส์การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด บวกกับงบประมาณปี 67 เริ่มเบิกจ่ายเกิดการลงทุนภาครัฐและเอกชนหนุนเศรษฐกิจไทยโต 3% ผลดังกล่าวช่วยผลักดันให้คาดว่า SET Index สิ้นปี 67 ไว้ที่ 1,550 จุด แนะหุ้นน่าลงทุน AOT-GFPT-GULF-KCE-SCGP


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 มี.ค. 2567) บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นเรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 และจะดีขึ้นตามลำดับในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 และไตรมาส 4 ปี 2567 หรือช่วงครึ่งหลังปี 2567 นั้นเอง ตามที่เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

โดยจากโอกาสในการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณของไทยที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากการเบิกจ่ายทำได้ดีและมีประสิทธิภาพ ทางฝ่ายวิจัยประมาณการเติบโต GDP ของไทย จะขยายตัวได้ 3.0% จากการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น แต่หากการเบิกจ่ายต่ำกว่าคาด เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5% ซึ่งหากเป็นกรณีหลังประเมินว่า ธปท. อาจสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ประเมินเป้าหมายของ SET Index อยู่ที่ 1,550 จุด

สำหรับเป้าหุ้นเด่นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 มองไปในกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มท่องเที่ยวรับอานิสงส์ไปตามภาวะเศรษฐกิจขยับตัวดีขึ้น พร้อมยังเน้นโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดแล้ว และได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย ได้แก่ AOT, GFPT, GULF, KCE และ SCGP

 

 

 

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 2 ปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Global Soft-Landing) แม้ว่าอัตราการเติบโตจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าก็ตาม อย่างไรก็ดีการที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯอยู่ในทิศทางชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้

ขณะที่ในส่วนของเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน โดยหากเศรษฐกิจจีนเติบโตตามแผนของรัฐบาลจะส่งผลบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในเอเชียโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการเบิกจ่ายภาครัฐเป็นหลัก ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นอีกปัจจัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยเช่นกัน ปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 เบื้องต้นประเมินว่า SET Index ในปีนี้เป้าหมายไว้ที่ 1,550 จุด แนะนำลงทุนในกลุ่มพาณิชย์, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสาธารณูปโภค

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนระยะยาว ยังแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost-Averaging) เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ Undervalue มาก คาดว่า SET Index จะยังคงมีความผันผวน การลงทุนแบบ DCA ในช่วงนี้จึงถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เนื่องจากความเสี่ยงลดลงไปมากและโอกาสทำกำไรในอนาคตค่อนข้างสูง โดยเกณฑ์การพิจารณาหุ้นสำหรับ DCA เข้าพอร์ตควรเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี ราคา Undervalue มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC นอกจากนั้นยังมีคำแนะนำสำหรับพอร์ตการลงทุนแบบ 2 สัปดาห์ (Bi-weekly Portfolio) และหุ้นเด่นประจำวัน (Daily Top picks)”

นายสุกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่า GDP จะเติบโตประมาณ 2.50-3.00%  ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย และคาดว่าการเบิกจ่ายงบจะเห็นได้ในช่วงไตรมาส 2 เป็นได้ และอีกเรียงคือการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ดังนั้นตลาดหุ้นจะกลับมาเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2567

นอกจากนี้ในส่วนของจากกรณีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการขยายเวลาเทรดหุ้นเพิ่มในช่วงภาคบ่ายอีก 30 นาทีนั้น จะเป็นประโยชน์ในช่วงภาวะตลาดคึกคัก เป็นการเพิ่มปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนเทรดดิ้งมากขึ้น แต่ช่วงตลาดซบเซาจะไม่ช่วยตลาดเท่าไรนัก

ส่วนการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยกระดับคุมชอร์ตเซลถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เพราะสัดส่วนของนักลงทุนถือว่าต่ำมากๆ แค่ 20-30% ดังนั้นมาตรการทั้งหมดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำขึ้นอยู่กับความเข้มขน แต่ในเชื่องสัญลักษณ์ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะหากไปดูในตลาดญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ถือว่าให้ความสำคัญต่อตลาดหุ้น โดยมีการออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นค่อนข้างมาก นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่จะมีผลมากน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มขนของมาตรการ

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ได้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกดูดีกว่าคาดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567  ในส่วนของตัวการผลิตเริ่มดีขึ้นมาก  และตัวเลือกของภาคบริการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อาจชะลอตัวลงในระยะต่อไป อันเป็นผลมาจาก 3 ปัจจัยได้แก่ 1. ผลกระทบของดอกเบี้ยขาขึ้น 2.ความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น และ 3.เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

อย่างไรก็ตามแม้ว่าความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลดลง ในประเทศอื่นๆ มองว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเสี่ยงต่อภาวะถดถอย แต่นโยบายการเงินเริ่มมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่น BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี แต่ยังให้คำมั่นที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เพื่อรักษาสถานะนโยบายการเงินให้ยังผ่อนคลาย  ทั้งนี้แนะจับตากระแสการกู้ยืมเงินเยนไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น (Reverse Yen Carry Trade) อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่า BOJ จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะไม่ทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนมากนัก ด้านเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังเผชิญความเสี่ยงจาก 3 วิกฤต ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด และวิกฤตการจ้างงาน

ด้าน นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า แนะนำให้จับตาราคาน้ำมันดิบที่เร่งตัวขึ้นมาล่าสุด เนื่องจากอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลงช้ากว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางต้องการ เนื่องจากจะมีผลต่อแผนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ทั้งนี้ สาเหตุที่ราคาน้ำมันดิบเร่งตัวขึ้นเนื่องจากอัตราการขยายตัวของอุปสงค์ที่แข็งแรงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งกว่าคาด รวมถึงมาตรการลดการผลิตของ OPEC+ โดยหากสถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ตลาดน้ำมันที่อยู่ในภาวะอุปทานขาดแคลนได้

สำหรับประเด็นเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นล่าสุด ประเมินว่าเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน คาดว่าจะลดเป็นจำนวน 3-4 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ด้าน ECB มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเฟด โดยคาดการณ์ว่า ECB จะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดจะลดเป็นจำนวน 4 ครั้ง เช่นเดียวกับ ด้าน ธปท. คาดว่าอาจเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนเมษายน และมิถุนายน เนื่องจากเศรษฐกิจยังเปราะบาง

ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยถึง กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 2 ปี 2567 ว่ากลยุทธ์การลงทุนนั้นจะโฟกัสไปที่หุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดไปแล้วและเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุน (Rotation) จากตลาดเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) ไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และเม็ดเงินลงทุนใหม่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม non-tech และกลุ่มวัฏจักรมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยกลุ่มเทคโนโลยียังมีความน่าสนใจอย่าง TSMC, ASML, Microsoft, Alphabet ในขณะที่ Non-tech และกลุ่มวัฏจักรได้แก่ Airbus, Home Depot, Pfizer, Walt Disney, China Mobile, Baidu, CATL”

สำหรับตลาดหุ้นไทยประเมินเป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,550 จุด แนะจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุด ผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 12% ชี้เป้าหุ้นเด่นไตรมาส 2 ปี 2567 เน้นโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดแล้วและได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย มีฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่ดี ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของวงจรการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ AOT GFPT GULF KCE และ SCGP

ตบท้าย นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานฝ่าย Wealth Products and Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยมุมมองด้านการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ว่า การลงทุนรายสินทรัพย์ในไตรมาส 2 ปี 2567 ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ซึ่งนอกจากจะมีอัตราผลตอบแทนในปัจจุบันที่น่าสนใจ ประกอบกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะเป็นผลบวกต่อราคาตราสารหนี้แล้ว ยังถือเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้ด้วยเช่นกัน โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการลงทุนตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ในระดับต่ำ แนะนำกองทุน UGIS-N ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก

ขณะที่ตราสารทุน ได้มีการปรับมุมมองการลงทุนต่อหุ้นสหรัฐฯ จากระดับระมัดระวังขึ้นมาเป็นระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มผลดำเนินงานพบว่ามีการปรับประมาณการกำไร (Earning Revision) ขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับหุ้นในตลาดเกิดใหม่โดยภาพรวมถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าหุ้น (Valuation) อยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่ยังแนะนำให้เลือกลงทุนเฉพาะบางตลาดที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว และ Valuation ยังไม่ได้แพงมากเกินไป เช่น ตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แนะนำกองทุน TISCOHD-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ปันผลสูงคุณภาพ

ผสมผสานกับกองทุน ASP-SME-A ลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางขนาดเล็กเติบโตสูง กองทุน Principal VNEQ-A ลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ชนะในระยะยาว สอดคล้องไปกับการเติบโตเชิงโครงสร้าง และกองทุน SCBKEQTG ลงทุนในหุ้นเกาหลีใต้ อาทิ Samsung ผู้ผลิต Memory Chip อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออกในกลุ่ม Semiconductor ที่เติบโต โดยการลงทุนในกองทุนไทยเหล่านี้นอกจากจะช่วยกระจายเสี่ยงของพอร์ตแล้ว นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีต่างประเทศอีกด้วย

สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศและสินทรัพย์อื่นๆ สามารถติดตามบทวิเคราะห์ และกลยุทธ์การลงทุนจาก InnovestX ที่ครอบคลุมหลากหลายกลยุทธ์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ตามกลยุทธ์ของตนเอง สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้ที่ www.innovestx.co.th และ Facebook InnovestX

Back to top button