CPF ฟาดกำไรไตรมาส 1 โตทะลัก 6 เท่าตัว ทะลุ 8.5 พันล้านบาท

CPF กำไรไตรมาส 1/68 พุ่ง 642% แตะ 8,549 ล้านบาท รับอานิสงส์โรคไข้หวัดนก-ASF ระบาดในสุกร พ่วงต้นทุนต่ำ-บริหารจัดการดีเยี่ยม


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เผยผลดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไร 8,549 ล้านบาท  เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 642% หรือโต 6 เท่า จากความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ และความเคร่งครัดของระบบป้องกันโรคในฟาร์มที่เข้มงวด ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยท่ามกลางโรคระบาด สะท้อนศักยภาพผู้นำเกษตรอาหารที่ให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพ

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า การที่บริษัทมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปีนี้ดีเด่นขึ้น  มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบกับการระบาดของโรคสัตว์โดยเฉพาะไข้หวัดนกซึ่งกระจายไปหลายประเทศทั่วโลก และโรค ASF ของสุกรที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ มีผลทำให้จำนวนไก่และสุกรมีน้อยกว่าปกติ ตลอดจนราคาวัตถุดิบอยู่ในฐานที่ยังไม่สูงเกินไป ทำให้ผลการดำเนินงานดีกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ซีพีเอฟลงทุนไว้มากกว่า 10 ประเทศ

โดยผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสแรกปีนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของทีมงานทั่วโลกและความสามารถในการปรับตัวอย่างยั่งยืนในทุกสภาพแวดล้อม การลงทุนของบริษัทที่เน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนการนำระบบ IT ที่นำมาใช้ในเรื่องการบริหารจัดการ รวมทั้งความมุ่งมั่นในการยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพและการป้องกันโรคในการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน บริษัทจึงสามารถรักษาเสถียรภาพในการผลิตและสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง

นายประสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมาด้วยปัจจัยต่างๆ ที่บริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมมีการปรับสมดุลจากความท้าทายในอดีต ในส่วนของปัญหาความปั่นป่วนจากเรื่องภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีผลกระทบกับซีพีเอฟ เพราะซีพีเอฟมีการลงทุนในธุรกิจอาหารพื้นฐานที่ราคาไม่แพง มีการผลิตอยู่ในกว่า 10 ประเทศและขายในประเทศนั้นเป็นหลัก ขณะที่บริษัทพึ่งพาการส่งออกประมาณ 4-5% โดยการส่งออกส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศในเอเซีย เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปเป็นหลัก  มีการส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 0.3% เท่านั้น

ทั้งนี้ จากภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงโควิดที่กลับมาในช่วงนี้ ผู้บริหารทุกคนได้ให้ความสำคัญด้านการบริหารงานภายใต้แนวทางการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดีที่ชัดเจน และที่สำคัญได้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิต การป้องกันโรคระบาดตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยในการดำเนินงานอย่างครอบคลุม

Back to top button