โบรกฟันธง 7 หุ้นเด่นน่าลงทุน รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง

KSS มองเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ "ดอกเบี้ยขาลง" แนะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มได้อานิสงส์ คือ MTC-GULF-GPSC-MINT-CPAXT-CPALL-ADVANC ติดโผเด่น!


ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี สำนักสถิติแห่งกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 โดยเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 2.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตัวเลขในเดือนเมษายนอยู่ที่ 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 2.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้านดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 2.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 2.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเทียบกับตัวเลขเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และ 2.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยเงินเฟ้อสหรัฐเดือน พ.ค. ต่ำกว่าตลาดคาดแม้จะเริ่มเห็นการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากสินค้านำเข้าจากจีนอันเป็นผลกระทบจากการขึ้นภาษีการค้า ในสินค้ำกลุ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า, วัสดุก่อสร้างบางประเภทที่ปรับขึ้น อย่างไรก็ตามสินค้ากลุ่มเหล่านี้ในอดีตเคยอยู่ในภาวะเงินฝืด ผลกระทบต่อเงินเฟ้อ CPI โดยรวมจึงยังไม่ชัดเจนมากนัก

สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ข้อตกลงชั่วคราวระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ในการชะลอการเก็บภาษีการค้าระหว่างกันเป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ยังคงเป็นปัจจัยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน

ทั้งนี้ บล.กรุงศรีมีมุมมองต่อองค์ประกอบหลักของเงินเฟ้อในระยะถัดไป ดังนี้

1.Core Inflation: คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในหมวดบริการ (Core Service Price) จะเริ่มชะลอตัวจากผลของฐานสูง (Base Effect) ขณะที่หมวดสินค้า (Core Goods Price) โดยเฉพาะสินค้านำเข้า หรือสินค้าที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ มีแนวโน้มลดความเสี่ยงด้านต้นทุน หลังจากสหรัฐฯ ตกลงชะลอการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นการชั่วคราว

2.Shelter Inflation: มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงถัดไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากดัชนีชี้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว

3.Food Price: ดัชนีราคาสินค้าอาหารโลกขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO Food Price Index – FFPI) ในเดือนพฤษภาคม 2025 อยู่ที่ระดับ 127.7 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.8% MoM แต่ยังคงสูงกว่าระดับเดียวกันของปีก่อนประมาณ 6.0% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินว่า ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าอาหารสำหรับสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับจำกัด

4.Energy Price: ราคาน้ำมันยังมี Upside จำกัดในเชิงปัจจัยพื้นฐาน โดยแนวโน้มสมดุลอุปสงค์-อุปทานในปี 2568 ยังสะท้อนภาวะอุปทานส่วนเกิน ตามการประเมินล่าสุดของ EIA และ IEA ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านอุปทานมีแนวโน้มลดลงตามการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกกลับเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการเจรจาควบคุมโครงการนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านที่เริ่มเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้น

แม้สถานการณ์การค้าโลกจะมีการผ่อนคลายชั่วคราวจากข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะจากแนวโน้มมาตรการภาษีการค้ารอบใหม่

ล่าสุด สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 55% ภายในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2568 จากระดับที่ผ่อนคลายปัจจุบันที่ 30% ขณะที่จีนเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ระดับ 10% สำหรับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ยังไม่มีความชัดเจน

จากปัจจัยข้างต้น KSS ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะยังไม่เร่งดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมรอบกลางเดือนมิถุนายนนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยของประเทศอื่นที่เริ่มเข้าสู่วงจรการลดดอกเบี้ยเร็วกว่า เป็นปัจจัยบวกเชิงจิตวิทยาต่อสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (EM Assets)

KSS มองว่าการพิจารณาการลดดอกเบี้ยของ Fed ยังต้องผ่านช่วงรอยต่อที่ผลกระทบจากนโยบายการค้าต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยคงกรอบประมาณการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2025 ไว้ที่ 1-2 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของตลาดในปัจจุบัน

ดอกเบี้ยโลกเข้าสู่วงจรขาลง แนะสะสมหุ้นกลุ่มอิงดอกเบี้ยต่ำ

เชิงกลยุทธ์ KSS ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง โดยมีปัจจัยเร่งหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านเงินเฟ้อในประเทศต่าง ๆ แตกต่างกันไป ทั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแรงกดดันด้านราคามากกว่าหนุนให้เฟ้อ ยกเว้นสหรัฐฯ ที่อาจยังเผชิญความไม่แน่นอน

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง แนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ได้แก่

กลุ่มสินเชื่อรายย่อย: เช่น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC

กลุ่มโรงไฟฟ้า: เช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

กลุ่มหุ้นที่มีภาระหนี้สูง: เช่น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

กลุ่มเทคโนโลยีและโทรคมนาคม: เน้นที่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC

Back to top button