“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 770 จุด กังวลอิหร่านยิง “ขีปนาวุธ” ตอบโต้อิสราเอล

ดาวโจนส์ ปิดร่วง 770 จุด หลังอิหร่านเดินหน้ายิงขีปนาวุธตอบโต้อิสราเอล ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งเกือบ 7% จากความเสี่ยงอุปทานตะวันออกกลางหยุดชะงัก


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (14 มิ.ย. 68) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 700 จุดในวันศุกร์ (13 มิ.ย.) หลังจากอิหร่านยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอลเพื่อตอบโต้การโจมตีอย่างรุนแรงของอิสราเอลที่มุ่งสกัดศักยภาพของอิหร่านในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,197.79 จุด ลดลง 769.83 จุด หรือ -1.79%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,976.97 จุด ลดลง 68.29 จุด หรือ -1.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,406.83 จุด ลดลง 255.66 จุด หรือ -1.30% ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 1.3%, ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.4% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.6%

โดยหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มหลักของดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ โดยกลุ่มการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศร่วงหนักที่สุด 2.06% และ 1.50% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.72% สวนทางตลาด หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอย่างมากจากความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานในตะวันออกกลาง

สื่อต่างประเทศ รายงานว่า เกิดเสียงระเบิดและแสงไฟเหนือกรุงเทลอาวีฟและเยรูซาเลม ขณะที่ไซเรนดังทั่วประเทศอิสราเอล หลังจากโฆษกกองทัพระบุว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากอิสราเอลโจมตีโรงงานนิวเคลียร์และโรงงานผลิตขีปนาวุธในอิหร่าน ทำให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก

ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 7% จากความกังวลว่า เหตุขัดแย้งจะกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง โดยหุ้นกลุ่มพลังงานของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นตามกัน โดยหุ้นเอ็กซอน (Exxon) พุ่งขึ้น 2.2% และหุ้นไดมอนด์แบ็ก เอเนอร์จี (Diamondback Energy) พุ่งขึ้น 3.7%

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งทางทหารเต็มรูปแบบ และถ้ามีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันประมาณ 1 ใน 3 ของโลก ก็อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก

หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง เพราะกังวลว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะเพิ่มสูงขึ้น โดยหุ้นเดลตา แอร์ไลน์ส (Delta Air Lines) ร่วง 3.8%, หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส (United Airlines) ร่วง 4.4% และหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส (American Airlines) ดิ่งลง 4.9%

ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศพุ่งขึ้น โดยหุ้นล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin), หุ้นอาร์ทีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน (RTX Corporation) และหุ้นนอร์ทรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) ต่างพุ่งขึ้นมากกว่า 3%

หุ้นอะโดบี (Adobe) ผู้พัฒนา Photoshop ร่วง 5.3% เพราะนักลงทุนกังวลว่า แผนการนำ AI มาใช้ของบริษัทดำเนินไปอย่างล่าช้า แม้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปี

หุ้นออราเคิล (Oracle) พุ่งขึ้น 7.7% สวนทางตลาดและแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่งจากความต้องการบริการด้าน AI

หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ร่วงลง 2.1% และหุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ลดลง 1.4%

ส่วนหุ้นวีซ่า (Visa) และหุ้นมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) ต่างร่วงลงมากกว่า 4% หลังวอลล์สตรีท เจอร์นัล  รายงานว่า ร้านค้ารายใหญ่กำลังพิจารณาใช้คริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งอาจลดความจำเป็นในการใช้บริการจากผู้ให้บริการชำระเงินดังกล่าว

ในรอบสัปดาห์นี้ การเปิดเผยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ชะลอตัว และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ตลอดจนตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ได้ช่วยลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแรงกดดันด้านราคาจากภาษีนำเข้า และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมสัปดาห์หน้า

ดัชนี S&P500 ยังคงมีการซื้อขายอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเดิมในเดือนก.พ. ขณะที่นักลงทุนยังมองว่า สหรัฐฯ อาจสามารถทำข้อตกลงทางการค้าเพื่อลดกำแพงภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดไว้

ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นในเดือนมิ.ย. เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการค้า

Back to top button