
SKIN ลั่นเทรด mai คึก! ผู้ถือหุ้นล็อกอัพ 100% ระดมทุนแตกไลน์สินค้า-บุกเวชสำอาง
SKIN เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 44 ล้านหุ้น เดินหน้าขยายไลน์สินค้า-เปิดแบรนด์ Dermie รุกเวชสำอาง ด้านที่ปรึกษาทางการเงินชี้รายได้สะท้อนกำไรแท้จริงแม้บัญชีรับรู้ต่างกันระหว่าง “ฝากขาย” กับ “ขายขาด” พร้อมย้ำผู้ถือหุ้นเดิมล็อกอัพหุ้น 100%
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ว่า บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น เพื่อระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายหลักในการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการต่อยอดและขยายสายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับแบรนด์ “Dermie” ซึ่งเป็นเวชสำอางระดับแมส ที่เน้นคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แบรนด์ “Dermie” จะเข้ามาเสริมความครบวงจรให้กับพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ ร้านค้าปลีก ช่องทางออนไลน์ ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตรทางการแพทย์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศในระยะถัดไป
ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนรมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ APM ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ SKIN มากกว่า 3 ปี ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทีมผู้บริหารอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และเวชสำอาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แผนการดำเนินธุรกิจของ SKIN ได้สะท้อนออกมาเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การตลาดที่ทันสมัย และการบริหารงานที่สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภค ส่งผลให้กิจการมีการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมทั้งชี้ว่าปัจจุบันถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการยกระดับการเติบโตอีกขั้น ผ่านการระดมทุนในตลาดทุน เนื่องจากบริษัทมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเงื่อนไขเกี่ยวกับหลักทรัพย์ค้ำประกัน
“การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการในปีที่ผ่านมา รวมถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งยังคงอยู่ในทิศทางตามแผนที่วางไว้” นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้านผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “Skin Sista” ซึ่งเป็นแบรนด์หลักของบริษัท ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 5–7 ปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์เดิมยังคงมียอดขายดีแม้เวลาจะผ่านไป ขณะเดียวกัน บริษัทก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดรับกับความต้องการของตลาดและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และความเข้าใจในตลาดของผู้บริหารอย่างแท้จริง
ในด้านผลประกอบการ แม้รายได้ในช่วงปี 2566–2567 จะมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งมีกำไรสุทธิใกล้เคียง 10% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลประกอบการในช่วงก่อนหน้าอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่เกิดจากกระบวนการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นลักษณะรายการครั้งเดียว (One-time Expense)
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวเลขรายได้รวม (Top Line) ของบริษัท กล่าวคือ SKIN มีการจำหน่ายสินค้าใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การขายแบบฝากขาย (Consignment) และการขายขาด (Outright Sale) ซึ่งมีหลักการรับรู้รายได้แตกต่างกัน
ในกรณีฝากขาย บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มตามราคาขาย เช่น 50 บาท และแยกบันทึกค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งช่องทางจำหน่ายเป็นต้นทุน ขณะที่การขายขาดจะรับรู้รายได้เพียงยอดสุทธิ เช่น 40 บาท โดยไม่แสดงต้นทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้แม้ปริมาณการขายจะเท่ากัน รายได้ที่ปรากฏตามงบการเงินก็อาจดูน้อยลงได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชี และไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่ากิจการชะลอตัว
“สัดส่วนของการขายขาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ ซึ่งตัวเลขทางบัญชีที่เปลี่ยนแปลงนี้ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่ยังไม่ศึกษารายละเอียดในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)” นายสมศักดิ์ กล่าว
สำหรับตัวเลข “กำไรสุทธิ” ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานตามปกติของบริษัท ภายหลังจากไม่มีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มเติม โดยผลประกอบการยังคงเป็นไปตามเป้าหมายและแนวทางที่ผู้บริหารวางไว้ ร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินมาโดยตลอด
“SKIN มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง เข้าใจตลาด และมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการต่อยอดการเติบโตระยะยาวของบริษัท และเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและความยั่งยืน” นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำ
นอกจากนี้ นายชาญวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN ย้ำถึงรายละเอียดเชิงลึกด้านการรับรู้รายได้ของบริษัทว่า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่องทางมีผลต่อวิธีการบันทึกรายได้ตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้พิจารณารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ โดยย้ำว่ารายได้รวมที่ปรากฏในงบการเงิน อาจไม่ได้สะท้อนภาพรวมของกำไรสุทธิอย่างแท้จริง
“หากนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมซองราคาขายปลีก 50 บาทมาเปรียบเทียบ จะเห็นชัดเจนว่าหากขายผ่านช่องทาง “ขายฝาก” บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มจำนวนที่ 50 บาท ส่วนค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งช่องทางจำหน่ายประมาณ 20-30% จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการขาย ขณะที่หากขายผ่านช่องทาง “ขายขาด” บริษัทจะรับรู้รายได้เฉพาะยอดสุทธิที่ได้รับจริง เช่น 30 บาท โดยไม่มีการบันทึกต้นทุนเพิ่ม” นายชาญวิทย์ อธิบาย
นายชาญวิทย์ กล่าวเสริมต่อว่า แม้รูปแบบการรับรู้รายได้จะแตกต่างกัน แต่ในเชิงกำไรสุทธิ กลับไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้รับการบันทึกในรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่ละโมเดลธุรกิจ ซึ่งนักลงทุนและนักวิเคราะห์จำเป็นต้องทำความเข้าใจในหลักบัญชีดังกล่าว เพื่อประเมินภาพรวมทางการเงินของบริษัทได้อย่างถูกต้อง
ดังนั้นในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการขายผ่านช่องทาง “ขายขาด” ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนเฉลี่ยมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด ส่งผลให้รายได้รวมที่รับรู้ตามงบการเงินอาจดูเหมือนลดลง ทั้งที่ในความเป็นจริง ปริมาณการจำหน่ายสินค้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อความเข้าใจในผลประกอบการของบริษัท เช่น วงจรชีวิตสินค้า และฤดูกาลของสินค้า ซึ่งทำให้ผลประกอบการในแต่ละไตรมาสไม่สม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลกำไรลดลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นผลมาจาก “ค่าใช้จ่ายแบบครั้งเดียว” ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
“เมื่อพิจารณางบการเงินไตรมาส 1/2568 จะเห็นว่าผลกำไรจากการดำเนินงานเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 10–20% ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจในสภาวะปกติ โดยไม่มีผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษอีกต่อไป” นายชาญวิทย์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลทางการเงิน และพร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับนักลงทุนอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศักยภาพที่แท้จริงของกิจการในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
ขณะเดียวกัน นายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันยังคงท้าทาย จากผลกระทบของปัจจัยเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่เอื้อต่อภาพรวมตลาด อย่างไรก็ตาม SKIN ได้มีการเตรียมแผนธุรกิจ แผนการใช้เงิน และแผนการเติบโตไว้อย่างรอบคอบ โดยถือเป็นการร่วมวางแผนระหว่างบริษัทและที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้การระดมทุนในครั้งนี้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นสำคัญที่ได้รับการเน้นย้ำ คือการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าการระดมทุนในครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดความผิดหวังหรือต้นทุนที่ไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ของการกำหนดราคาหุ้น การจัดสรรหุ้น รวมถึงการติดตามสถานการณ์ภายนอกอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบัน ทุกฝ่ายยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักการ เพียงแต่ยังคงอยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้การเสนอขายหุ้นสอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ลักษณะของหุ้น SKIN ที่จะเสนอขายไอพีโอเป็นหุ้นขนาดเล็ก จำนวนหุ้นทั้งหมดประมาณ 44 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยหุ้นเดิมประมาณ 55% จะถูกล็อกอัพตามเกณฑ์ที่กำหนด และหากผู้ถือหุ้นเดิมถือหุ้นรวมกัน 70% จะทำการล็อกอัพทั้งหมด เหลือหุ้น IPO เพียงส่วนน้อยที่จะหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับประเด็นเรื่องการล็อกอัพหุ้นนั้น เป็นการล็อกอัพในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่ 1–2 เดือน โดยอย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรก จะมีการล็อกอัพ 100% ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน