
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 279 จุด หวั่นนโยบาย “ภาษีทรัมป์” เพิ่มความกังวลการค้า
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 279 จุด รับแรงกดดันนโยบายภาษีของทรัมป์ กระทบทิศทางนโยบายการค้าสหรัฐ ขณะที่หุ้นเมตาถ่วงดัชนี S&P500 หลังมีข่าวเสี่ยงถูกคณะกรรมาธิการยุโรป ตั้งข้อหาผูกขาดธุรกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (12 ก.ค. 68) ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ 11 ก.ค. ที่ผ่านมาและหุ้นเมตาแพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ถ่วงดัชนี S&P500 ลงหลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าใช้นโยบายภาษีที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับ แคนาดา ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,371.51 จุด ลดลง 279.13 จุด หรือ -0.63%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,259.75 จุด ลดลง 20.71 จุด หรือ -0.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,585.53 จุด ลดลง 45.14 จุด หรือ -0.22%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลงราว 1%, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.3% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.1% อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ยังคงปรับขึ้นราว 6% นับตั้งแต่ต้นปี 2568
ขณะที่ ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างเบาบาง โดยมีการซื้อขายรวม 1.54 หมื่นล้านหุ้น เทียบกับค่าเฉลี่ย 20 วันที่ผ่านมาที่ 1.83 หมื่นล้านหุ้น
ด้าน ทรัมป์ ประกาศเมื่อค่ำวันพฤหัสบดี 10 ก.ค. ว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาในอัตรา 35% เริ่มตั้งแต่เดือนหน้า และยังมีแผนจะเก็บภาษีแบบครอบคลุมในอัตรา 15% หรือ 20% กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่อื่น ๆ ส่วนใหญ่
ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันก่อน ขณะที่นักลงทุนมีความระมัดระวังในการซื้อขายมากขึ้น หลังจากที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษี 50% กับบราซิล และสหภาพยุโรป (EU) กำลังเตรียมรับจดหมายจากทรัมป์ซึ่งอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บภาษีรอบใหม่
ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า วาทกรรมเรื่องภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรณีของบราซิลและแคนาดาในสัปดาห์นี้ กำลังทำให้นักลงทุนวิตกมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ตลาดเริ่มชินกับการไม่มีข่าวลบเรื่องภาษี แต่ตอนนี้ก็เหมือนถูกเตือนว่าปัญหาเรื่องภาษียังไม่จบ
แต่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ปรับขึ้น 0.5% สวนทางตลาดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้มูลค่าตลาดของอินวิเดียแตะ 4.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ หุ้นบริษัทผลิตโดรน อาทิ แอโรไวรอนเมนต์ (AeroVironment) และเครโทส ดีเฟนส์ แอนด์ ซีเคียวริตี้ โซลูชันส์ (Kratos Defense & Security Solutions) พุ่งขึ้นราว 11% หลังจาก พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ สั่งเร่งการผลิตและนำโดรนมาใช้
บรรดานักลงทุนจะเริ่มจับตาฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 โดยเน้นผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อบริษัทสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ โดยในสัปดาห์หน้าจะมีบริษัทรายใหญ่ประกาศผลประกอบการ เช่น เจพีมอร์แกน (JPMorgan), เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson)
นักวิเคราะห์คาดว่าโดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทในดัชนี S&P500 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบรายปี โดยข้อมูลจาก LSEG I/B/E/S ระบุว่า กลุ่มเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่กลุ่มพลังงาน, สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน และสินค้าฟุ่มเฟือยจะมีกำไรลดลง
ด้านหุ้น ลีวาย สเตราส์ แอนด์ โค (Levi Strauss & Co) พุ่งขึ้น 11% สวนทางตลาด หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้และกำไรทั้งปี และรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
ทั้งนี้ หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ปิดลดลง 1.3% หลังจากสื่อต่างประเทศรายงานว่า เมตาไม่น่าจะยินยอมเปลี่ยนแปลงโมเดล “ยินยอมหรือจ่ายเงิน” เพิ่มอีก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกคณะกรรมาธิการยุโรปตั้งข้อหาผูกขาดใหม่ และอาจถูกปรับเป็นรายวันจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ (Kraft Heinz) พุ่งขึ้น 2.5% หลังจาก วอลล์สตรีท เจอร์นัล (Wall Street Journal) รายงานว่า บริษัทกำลังเตรียมแผนแยกธุรกิจออกจากกัน หลังประสบปัญหาอุปสงค์ซบเซาสำหรับสินค้าราคาแพงของบริษัท