
10 หุ้นส่งออกไป “สหรัฐ” วิ่งคึก! รับข่าวดี “ทรัมป์” ลดภาษีนำเข้าไทยเหลือ 19%
10 หุ้นส่งออกคึก! รับข่าวดี “ทรัมป์” ลดภาษีนำเข้าไทยเหลือ 19% เดิมเรียกเก็บ 36% โบรกมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพาภาคส่งออกสัดส่วน 60% ชูกลุ่มอาหาร-ยาง-นิคมฟื้นตัว
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ 1 ส.ค.68 ราคาหุ้นกลุ่มส่งออกสินค้าไปสหรัฐปรับตัวขึ้น ณ เวลา 10:20 น. นำโดย บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN อยู่ที่ระดับ 7.45 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 2.76% สูงสุดที่ระดับ 7.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.45 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.16 ล้านบาท
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU อยู่ที่ระดับ 11.40 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.70% สูงสุดที่ระดับ 11.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34.88 ล้านบาท
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER อยู่ที่ระดับ 4.54 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 2.71% สูงสุดที่ระดับ 4.56บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.46 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 55.00 ล้านบาท
บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG อยู่ที่ระดับ 18.10 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.26% สูงสุดที่ระดับ 18.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 89.74 ล้านบาท
บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG อยู่ที่ระดับ 5.05 บาท บวก 0.11 บาท หรือ 2.23% สูงสุดที่ระดับ 5.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39.20 ล้านบาท
บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI อยู่ที่ระดับ 4.78 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 2.14% สูงสุดที่ระดับ 4.96 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.72 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28.43 ล้านบาท
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT อยู่ที่ระดับ 7.15 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.42% สูงสุดที่ระดับ 7.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28.30 ล้านบาท
บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO อยู่ที่ระดับ 7.60 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.66% สูงสุดที่ระดับ 7.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15.34 ล้านบาท
บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS อยู่ที่ระดับ 3.14 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.64% สูงสุดที่ระดับ 3.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.14 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.23 ล้านบาท
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE อยู่ที่ระดับ 39.00 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.65% สูงสุดที่ระดับ 39.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 39.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.83 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุถึงข่าว ไทย–สหรัฐ บรรลุข้อตกลงการค้าและภาษีที่ 19% มีผล 1 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ไทย กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์-อัตราภาษี 19%, ไต้หวัน เวียดนาม อัตราภาษี 20%, เมียนมา ลาว-อัตราภาษี 40% ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้
พร้อมกันนี้คาดการณ์ GDP ปี 68-69 น่าจะเปลี่ยนแปลงไม่มาก (เติบโต 1.8%-2.3%) และเป็นเรื่องดีกับกลุ่มอิเลคทรอนิกส์กลุ่มส่งออกอื่นๆ และนิคมอุตสาหกรรม ที่ยังสามารถแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคได้ ซึ่งหุ้นที่ได้อานิสงค์ คือ DELTA, HANA, KCE, CCET, SVI, TU, ITC, ASIAN, AAI, CFRESH, COCOCO, STA, STGT, NER, AMATA, ROJNA และ WHA เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เซ็นคำสั่งผู้บริหาร (Executive Order) ประกาศอัตราภาษี Reciprocal Tariff ใหม่ โดยอัตราภาษีส่งออกของไทยลดลงมาที่ 19% จากเดิม 36% (แต่ใกล้เคียงกับคู่แข่งที่ 19-20% และไม่มี Positive Surprise เทียบกับที่ตลาดคาดการณ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.)
โดยภาพรวมมองเป็น Slightly Negative ต่อตลาดระยะสั้น เนื่องจากอัตราภาษีไทยใกล้เคียงกับคู่แข่งและราคาหุ้นปรับขึ้นมาสะท้อนมุมมองเชิงบวกในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในระยะยาวเป็นบวกโดยหากราคาหุ้นย่อตัวแนะนำเป็นจังหวะเข้าสะสม ทั้งหุ้นกลุ่มส่งออกและนิคม อาทิ DELTA, CCET, HANA, CPF, TFG, BTG, STA, STGT, NER, TU, ITC, AAI, AMATA และ WHA
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุหลังจากที่รู้ตัวเลข TRADE TARIFF ของไทยอยู่ระดับ 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นการโล่งใจระดับหนึ่งว่าประเทศไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่น โดยฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า SET ระดับปัจจุบันน่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่มเติมจาก 2 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
1.เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) จะพบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ -11.3% ซึ่งถือว่าล้าหลังกว่าตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ ที่มีโครงสร้างภาษีใกล้เคียงกัน เช่น มาเลเซียซึ่งให้ผลตอบแทน -7.9%, ฟิลิปปินส์ -4.2% ขณะที่อินโดนีเซียยังสามารถให้ผลตอบแทนบวกที่ 5.7% และเวียดนามโดดเด่นที่สุดด้วยผลตอบแทนสูงถึง 18.6% ซึ่งทิ้งห่างตลาดหุ้นไทยกว่า 20% สะท้อนถึงความท้าทายและปัจจัยกดดันเฉพาะตัวของตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมา
2.SET ขึ้นแบบกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน โดยจะเห็นได้ว่า SET ในครั้งนี้ทยอยปรับตัวขึ้น (ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคม) ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบ่งบอกของการปรับตัวขึ้นของ SET ที่แข็งแรง ไม่ เหมือนในอดีต (ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม ถึง 8 พฤษภาคม) ที่แม้ SET จะปรับตัวขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นนั้นกระจุกตัว ซึ่งมักตามมาด้วยการ
ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับดัชนีที่ระดับปัจจุบันมี VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTH ในปีนี้ ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดีในการสะสมหุ้นไทย โดยขอแบ่งกลยุทธ์การลงทุน SET100 กลุ่ม TARIFF PLAY ที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ต้นปี (YTD) อาทิ นิคม AMATA และ WHA รวมไปถึงส่งออก อาทิ ITC, STGT, STA, TU, CPF, BTG และ TFG
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนี SET Index เคลื่อนไหว 1,220 – 1,230 จุด แนวต้าน 1,250 จุด แม้ว่าดัชนีอาจถูกแรงชาย Sell on Fact แต่ในระยะถัดไปถือว่าเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 60%
ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนแนะนําทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวในกลุ่มส่งออก อาทิ ITC, TU, KCE, DELTA, HANA และ CCET รวมไปถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA, WHA และหุ้น SET 100 ที่ยัง Underperform อาทิ SAWAD, KTC, JMT, DOHOME, BGRIM, ERW และ BTS