
KSS ชี้ “ฟิตซ์ เรตติ้ง” ปรับ Outlook ไทยเชิงลบ กระทบตลาดหุ้นจำกัด
บล.กรุงศรี วิเคราะห์ Fitch Ratings ปรับ Outlook ความน่าเชื่อถือไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) ไว้ที่ระดับ ‘BBB+’ สอดคล้อง Moody’s โดยชี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด ดัชนี SET มีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาด กนง. ลดดอกเบี้ยหนุน กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA), ICT (ADVANC) และโรงไฟฟ้า (GULF) นำตลาด ส่วนกลุ่มการเงินและโรงแรมปรับตัวลดลงชั่วคราว
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS วิเคราะห์ว่า Fitch Ratings บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับ “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) โดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) ไว้ที่ระดับ ‘BBB+’ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับ Outlook ของ Moody’s ก่อนหน้านี้ และอิงสถิติในอดีตพบว่าผลกระทบต่อหุ้นไทยมีจำกัด
สำหรับการปรับ Outlook ครั้งนี้ มีปัจจัยหลักมาจาก (1) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพทางการคลัง (2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคาดการณ์นโยบาย ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และวินัยทางการคลัง และ (3) แรงกดดันด้านการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจยังขยายตัวในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ของบล.กรุงศรี ระบุว่า หากอ้างอิงจากสถิติในอดีต ผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับจำกัด โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 Moody’s ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” ขณะที่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ Baa1 ซึ่งในวันถัดมา (30 เมษายน 2568) ดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น +26.14 จุด หรือ +2.3% ปิดที่ระดับ 1,197.26 จุด และในช่วง 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น +4.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดพื้นฐาน สู่ระดับ 1.75%
กลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นนำตลาดในช่วงดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA), กลุ่ม ICT (ADVANC) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF)
ขณะที่กลุ่มที่ปรับตัวลดลงได้แก่ กลุ่มการเงิน (TIDLOR, MTC, SAWAD) จากแรงขายทำกำไรภายหลังการลดดอกเบี้ย และกลุ่มโรงแรม (MINT)
ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยถูกปรับลด Outlook ในลักษณะคล้ายกันมาแล้วในช่วงเดือนธันวาคม 2551 และเมษายน 2563 โดยผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ในวงจำกัดเช่นกัน ดัชนี SET Index มักปรับตัวลงเพียงชั่วคราว และสามารถกลับสู่ระดับเดิมได้ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 1 สัปดาห์อยู่ที่ +4.3% และในช่วง 2 สัปดาห์อยู่ที่ +7.8% สะท้อนว่า “การปรับลด Outlook” มักเป็นตัวแปรตามหลัง (Lagging Indicator)
สำหรับกรณีล่าสุด บล.กรุงศรี ประเมินว่าผลกระทบต่อดัชนี SET Index ในวันถัดไปจะอยู่ในระดับจำกัดเช่นเดียวกัน โดยในระยะสั้นยังมีปัจจัยสนับสนุนต่อทิศทางตลาด ได้แก่
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งด้านการบริโภค การท่องเที่ยว และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
- การเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายในไตรมาส 4/2568
- แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่คาดว่าจะเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นสูงสุดช่วง Golden Week ระหว่างวันที่ 1–8 ตุลาคม
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งตลาดมีความคาดหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 จุดพื้นฐาน โดย Krungsri Research ประเมินว่า ทุกการลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน จะสร้างอัพไซด์ต่อดัชนี SET Index ประมาณ 55 จุด
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี ยังคงกรอบประเมินแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่ 1,270 จุด และแนวต้านที่ระดับ 1,280–1,295 จุด