เก็บ 13 หุ้น Big Cap ราคา Laggard รับแรงซื้อ LTF-RMF โค้งสุดท้ายปี 60

ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงรอข่าวใหม่เข้ามาหนุน โดยเฉพาะปัจจัยต่างประเทศหลังคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภามีมติผ่านร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี และสมาชิกวุฒิสภาจะโหวตร่างฯนี้ในวันนี้ (30 พ.ย.) ซึ่งมีโอกาสผ่านสูง ส่วนตลาดน้ำมันรอผลประชุมกลุ่มในและนอกโอเปกวันนี้เช่นกัน ว่าจะขยายระยะเวลาลดการผลิตออกไปอีก 9 เดือนเป็นสิ้นปี 61 หรือไม่


ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงรอข่าวใหม่เข้ามาหนุน โดยเฉพาะปัจจัยต่างประเทศหลังคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภามีมติผ่านร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี และสมาชิกวุฒิสภาจะโหวตร่างฯนี้ในวันนี้ (30 พ.ย.) ซึ่งมีโอกาสผ่านสูง ส่วนตลาดน้ำมันรอผลประชุมกลุ่มในและนอกโอเปกวันนี้เช่นกัน ว่าจะขยายระยะเวลาลดการผลิตออกไปอีก 9 เดือนเป็นสิ้นปี 61 หรือไม่

ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตาในวันนี้ยังมีการปรับพอรท์ของ MSCI ที่จะมีผลบังคับใช้ ณ ราคาปิดวันนี้ด้วย โดย MSCI ถอด BEC ออกจาก MSCI Standard Index และเลือก BEC GGC ORI VNT WHAUP เข้าดัชนี MSCI Small Cap. Index และถอด AIRI GPSC NYT SCN STPI THRE ออกจากดัชนี MSCI Small.Cap. Index ส่วนหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักประกอบด้วย PTTGC TOP IVL KBANK SCB

ขณะเดียวปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงเดือนสุดท้ายของปีก็เป็นแรงซื้อกองทุน LTF RMF ช่วงปลายปีและความหวังว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นที่น่าลงทุนและน่าจะตอบรับกับปัจจัยดังกล่าวมานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกมาจากบทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย และบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซึ่งได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนไปในทิศทางเดียวกันคือเน้นไปที่หุ้น Big Cap ที่ยัง Laggard นำโดย IVL, SCC, BDMS, AOT, BEM, BBL, KBANK, TMB, HMPRO, PTTGC, LH,  MINT และ MTLS 

 

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  กฎหมายปฏิรูปภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ใกล้คลอดเป็นปัจจัยบวกต่อการเก็งกำไรระยะสั้น IVL : วานนี้ (28 พ.ย.) คณะกรรมาธิการด้านงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐ (The U.S. Senate Budget Committee) มีมติด้วยคะแนนเสียง 12 ต่อ 11 อนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน

ขั้นตอนต่อไปคือการนำส่งให้วุฒิสภาเต็มคณะทำการพิจารณาต่อไปในวันที่ 1 ธ.ค.60 การผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าว ทำให้ตลาดคาดหวังว่าการพิจารณาของวุฒิสภาเต็มคณะจะมีมติผ่านความเห็นชอบด้วยเช่นกัน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้พอสมควรเพราะพรรครีพับลิกันมีที่นั่งส่วนใหญ่ในวุฒิสภา 52 คนจาก 100 คน

บริษัทจดทะเบียนในไทยที่จะได้ประโยชน์จากกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวที่ชัดเจนที่สุดคือ IVL ซึ่งมีบริษัทลูกดำเนินงานในสหรัฐคิดเป็น 35% ของ EBITDA โดยรวม การลดอัตราภาษีในสหรัฐทุกๆ 5 พันล้านบาท กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 2% หรือ 196-346 ล้านบาท ประเมินในเบื้องต้นภาพรวมจะทำให้ IVL จะมี Upside ทางกำไรในปี 2561 เพิ่มขึ้นจากประมาณการ 1.8 หมื่นล้านบาทกว่า 7% ด้วยกัน

ราคาเป้าหมายของปัจจุบันอยู่ที่ IVL 55.75 บาท (ยังไม่รวมเรื่องภาษีของ Donald Trump) ยังคงคำแนะนำซื้อ จากมุมมองการเติบโตที่โดดเด่นและทำกำไรสุทธิ New High ในปี 2561 ตามปริมาณการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆที่ IVL ทำ M&A มาทั้งปี โดยเฉพาะจาก US Cracker และจากโครงการขยายกำลังการผลิต Rotterdam PTA ซึ่งส่งผลให้แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 2561 เติบโตต่อเนื่องไปอีก 28.4%

คาดรอบการฟื้นตัวของ SET Index จะถูกนำโดย Big Cap ที่ยัง Laggard  : SET Index ฟื้นตัวขึ้นมาจาก 1,687 จุด จนกลับมาที่ 1,706 จุด ด้วยแรงซื้อกลับของสถาบันในประเทศ (2 วันที่ผ่านมาซื้อสุทธิกว่า 3.3 พันล้านบาท สอดคล้องกับที่ KS Research คาดการณ์ไว้ว่าจะเห็นสถาบันในประเทศกลับเข้าซื้อตามคำสั่งซื้อ LTF ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อ้างอิง Daily View 27 พ.ย.60)

นอกจากการซื้อกลับของสถาบันในประเทศแล้ว ยังเห็นสัญญาณที่ดีจากนักลงทุนต่างประเทศตั้งแต่ชะลอการขาย และพลิกกลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย KS Research ประเมินว่าต่างชาติปัจจุบันเหลือสถานะถือครองน้อยมากแล้ว โอกาสที่จะขายต่อจึงมีไม่มาก และมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มหันกลับเข้ามาซื้อคืนบ้างในช่วงที่เหลือของปีก่อนที่จะซื้อเพิ่มขึ้นในเดือน ม.ค.ปีหน้า

กลุ่มหุ้นที่มีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้นตามการกลับมาซื้อของสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าจะเป็น Big Cap ที่ยัง Laggard (หุ้นใน SET50 ที่ยังขึ้นน้อยกว่าตลาดตั้งแต่ต้นปี) เช่น SCC BLA BDMS BH KTB ซึ่ง KS Research เลือก SCC BDMS เป็นตัวเด่นสำหรับ Investment Theme นี้ 

กลยุทธ์การลงทุนคาด SET Index จะผ่าน 1,708 จุด ได้ไม่ยาก ก่อนจะกลับไปทดสอบ 1,720 จุด ภายในสัปดาห์หน้าตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เลือกเน้นไปที่ Big Cap ที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวและยัง Laggard IVL SCC BDMS เป็น Top Pick

ส่วนระยะกลาง-ยาว ยังคงให้ถือหุ้นเด่นที่ได้แนะนำมาตลอดทั้ง AMATA CPALL BJC COM7 KAMART PTTEP MTLS BBL TICON STEC  IVL SC SPALI SCC และที่ KS Research ไม่ได้ออกบทวิเคราะห์ PYLON ASK WHA WHAUP SYNTEC  CENTEL MINT PLANB BDMS MCS เพื่อไปทำกำไรในปี 2561 ที่ระดับ 1,760 และ 1,800 จุด

โดย  PTTEP เป็นหุ้น Laggard ในกลุ่มพลังงาน มีประเด็นบวกจากราคาน้ำมันที่กำลังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ PTTEP มีกำไรทางบัญชีเพิ่มมากขึ้นจาก Deferred Tax นอกจากนั้นยังมีประเด็นการเก็งผลประกอบการในงวด ไตรมาส3/60 เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลประกอบการทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่จะดีขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วน SCC แม้ผลประกอบการงวด ไตรมาส3/60 จะน่าผิดหวังจากการรับรู้รายได้เงินปันผลที่น้อยลง แต่ KS Research ยังคงประมาณการกำไรปี 2560 ที่ 5.97 หมื่นล้านบาท เพราะคาดว่าในไตรมาส 4/60 รายได้เงินปันผลจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน SCC ซื้อขายที่ PER 11.3 เท่าสำหรับปี 2561 เทียบค่าเฉลี่ยบริษัทโรงกลั่นปิโตรเคมี 5 บริษัทที่เราวิเคราะห์อยู่ที่ 10.9 เท่า ซึ่ง SCC ยังถือว่า Laggard ค่อนข้างมากโดยราคาเป้าหมายอิง PER 11.5 เท่าสำหรับธุรกิจเคมีภัณฑ์ และ 13.0 เท่าสำหรับธุรกิจซีเมนต์และอื่นๆ

CPALL SSSG ที่พลิกเป็นบวกในเดือน ส.ค. สืบเนื่องจากความสำเร็จของแคมเปญแสตมป์ล่าสุดของบริษัท โดยเราเชื่อว่า SSSG และกำไรของ CPALL ได้ผ่านจุดต่ำของปีไปแล้ว คาดกำไรของ CPALL ในครึ่งหลังของปี 2560 จะได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากกลยุทธ์การตลาดของบริษัทและการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรครึ่งหลังของปี 2560 จะโตขึ้น 13.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.4% HoH เป็น 9.5 พันลบ. และการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2560 ที่ 14%

MINT จะได้ประโยชน์จากช่วง High Season ในช่วงไตรมาส 4 ทั้งในส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศที่จะมียอดเข้าพักมากขึ้น โรงแรมต่างประเทศบราซิลและโปรตุเกสจะได้อัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการปรับปรุงโรงแรม ธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวจากยอดขายของร้านอาหารเดิมที่ปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและผลของมาตรการช้อปช่วยชาติ นอกจากนั้นร้านอาหารใหม่กว่า 100 แห่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้กำไรในงวด ไตรมาส4/60 ของ MINT เติบโตโดดเด่น

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจัยต่างประเทศคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภามีมติผ่านร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี และสมาชิกวุฒิสภาจะโหวตร่างฯนี้ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งมีโอกาสผ่านสูง ส่วนตลาดน้ำมันก็รอผลประชุมกลุ่มในและนอกโอเปกวันที่ 30 พ.ย.เช่นกันว่าจะขยายระยะเวลาลดการผลิตออกไปอีก 9 เดือนเป็นสิ้นปี 61 หรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลจะออกมาทางดีหรือไม่ดีก็ควรระวังแรงขายทำกำไรในตลาดน้ำมัน และหุ้นกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี

ส่วนในประเทศปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงเดือนสุดท้ายของปีก็เป็นแรงซื้อ LTF และความหวังว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลายสำนักวิจัยปรับเพิ่ม GDP Growth ปีหน้าเป็น 4% ซึ่งรวมถึง DBS ด้วย

ยังคงแนะให้ซื้อสะสมหุ้น Big Cap ซึ่งเป็น Theme ที่เกี่ยวกับ LTF โค้งสุดท้ายปีนี้ (หุ้น Big Cap ใน DBSV Coverage ที่แนะนำซื้อ คือ  AOT, BEM, BBL, KBANK, TMB, HMPRO, IVL, PTTGC, LH, MINT, MTLS) และให้ทยอยสะสมหุ้นปันผล เพราะอีกประมาณ 4 เดือนก็จะได้ปันผลสำหรับผลประกอบการปี 60 แล้ว (หุ้นปันผลเด่นของเรา เป็น KKP, KTB, LH, SENA, LALIN, DIF, TMT เป็นต้น)

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน  

Back to top button