PACO เคาะราคาไอพีโอ 1.40 บ. เปิดจองผ่าน 4 อันเดอร์ไรท์ 10-12 มี.ค. ดีเดย์เทรด 22 มี.ค.นี้

PACO เคาะราคาไอพีโอ 1.40 บ. ชูจุดเด่นผู้นำชิ้นส่วนอะไหล่แอร์รถยนต์ระดับนานาชาติ-กำไรโตแรง พร้อมเปิดจองผ่าน 4 อันเดอร์ไรท์ 10-12 มี.ค. ดีเดย์เทรด 22 มี.ค.นี้


นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยว่า PACO เป็น 1 ในผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่แอร์รถยนต์ทดแทนชั้นนำของไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก คือ คอยล์ร้อน (Condenser) และคอยล์เย็น (Evaporator) โดย PACO เป็นผู้นำในตลาดอะไหล่รถยนต์ทดแทน (Aftermarket) ภายใต้แบรนด์ ‘PACO’ สำหรับรถยนต์หลากหลายประเภท ครอบคลุมทุกเซ็กเม้นท์ ตั้งแต่ รถยนต์นั่งญี่ปุ่นยอดนิยม เช่น Toyota Honda  Mazda Mitsubishi รถกระบะทุกขนาดตั้งแต่ 1 ตัน เช่น Toyota Isuzu Mazda Mitsubishi Nissan จนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่

รวมไปถึงรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV- PPV) รถหรู เช่น Mercedes Benz BMW VOLVO Audi ตลอดจนรถซุปเปอร์คาร์ อาทิ Porsche Lamborghini โดยมีสินค้ามากกว่า 2,600 รุ่น ครอบคลุม รุ่นรถยนต์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากบริษัทฯ อื่น โดย PACO มีแผนกวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์แอร์รถยนต์รุ่นต่างๆ และสามารถพัฒนาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ ด้วยมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และส่งออกผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายทั่วโลก ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ แอฟริกา เอเชียและออสเตรเลีย

บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย หุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ ต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 260 ล้านหุ้นโดยกำหนดราคาเสนอขาย ที่ราคา 1.40 บาท/หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท) หรือคิดเป็น 26% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนประมาณ 364 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์หลักจะนำเงินจากการเพิ่มทุน เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการต่างๆ การลงทุนในโครงการอนาคต โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและย้ายจุดกระจายสินค้าในประเทศ และจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าและขยายตลาดในประเทศมาเลเซีย เพื่อสร้างการเติบโตให้บริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่าง ๆ ตามกฎหมาย”นายสมชาย กล่าว

โดย นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย หุ้นไอพีโอ ของ บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างสูงเนื่องจาก PACO เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอะไหล่แอร์รถยนต์ในตลาดชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ทดแทน (REM  หรือ  Aftermarket) ระดับนานาชาติ ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดอะไหล่รถยนต์ทั่วโลก และ PACO มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิระดับสูง

โดยในปี 2563 PACO มีกำไรสุทธิเท่ากับ 76.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 46.19 ล้านบาท คิดเป็น 150.63% เมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจาก PACO ได้นำเครื่องจักรอัตโนมัติเข้ามาติดตั้งและดำเนินการได้เต็มที่ ส่งผลให้เกิดการปรับกระบวนการทำงานในการผลิตเพื่อควบคุมการใช้แรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าแรงและค่าล่วงเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หุ้นไอพีโอของ PACO ที่ 1.40 บาท ต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับ PE ของหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ของไทย

ขณะที่กลุ่มนักวิเคราะห์ คาดว่าปีนี้ เศรษฐกิจทั่วโลก และ เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว เป็นผลดีต่อบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคง และ มีจุดแข็งด้านการผลิต ด้วยเทคโนโลยีระดับสูง มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง รองรับรถยนต์และรถบรรทุกทุกประเภท โดยการระดมทุนครั้งนี้ นอกจากเพื่อคืนหนี้สถาบันการเงินแล้ว ยังเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในการขยายกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อได้ในระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2564 ผ่านกลุ่มบริษัทผู้จัดจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน),  บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และมีกำหนดการจะเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 22 มีนาคม 2564 นี้

อนึ่ง PACO มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี เป็น 1 ในผู้บุกเบิกการผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ของไทย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อะไหล่แอร์รถยนต์แบบครบวงจร ทั้ง คอยล์ร้อน และคอยล์เย็น สำหรับรถที่มียอดจำหน่ายปานกลางถึงสูง ทั้งรถญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกัน รวมมากถึง 2,600 รุ่น โดยบริษัทฯ มี โรงงานผลิต 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร และศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตบางบอน กรุงเทพมหานคร บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และได้จำหน่ายสินค้าภายในประเทศ และ ส่งออกไปทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ เอเชียและออสเตรเลีย

Back to top button