“FSSIA” คัด 8 หุ้น Toppick เดือนมิ.ย. เน้น Value Stocks โอกาสไปต่อสูง!

"FSSIA" คัด 8 หุ้น Toppick เดือนมิ.ย. เน้น Value Stocks โอกาสไปต่อสูง!


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ โดยให้ความสำคัญกับหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวผลักดันตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนนี้

โดยมองว่า SET Index ในเดือนพฤษภาคม 2564 มีพัฒนาการที่แย่ที่สุดในปีนี้ จากความกังวลของนักลงทุนกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม FSSIA เชื่อว่า “Sell in May” สะท้อนถึงกลยุทธ์การขายทำกำไรชั่วคราว ซึ่งเป็นการย้ายการลงทุนจากหุ้นเติบโต (growth stocks) มาลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าถูกแทน จึงทำให้หุ้นมูลค่า Outperform หุ้นเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างช้า และอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นในประเทศไทย ประกอบกับการใช้จ่ายที่มากขึ้น จะทำให้หุ้นมูลค่าปรับตัวสูงขึ้นอีก

อย่างไรก็ดี FSSIA ได้คัดเลือกหุ้น Toppick ในกลุ่มหุ้นมูลค่า (value stocks) ดังนี้

บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท โดยคาดว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มมีเดียเพียงหุ้นเดียวที่จะมีการเติบโตของกำไรอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่สอง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีรายได้เพิ่มเติมจากหนังซีรีย์ และเรตติ้งที่ดีจากรายการข่าว ทั้งนี้ FSSIA เชื่อว่านักลงทุนยังมีมุมมองเชิง conservative ต่อหุ้น BEC อยู่จากการระบาดของโควิด-19 ในรอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารายได้โฆษณาจะยังคงแข็งแกร่ง

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท โดยคาดว่าจะมีกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ผลักดันโดยค่าการกลั่นที่สูงขึ้นที่มีผลต่อมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ มีอัตราการใช้งานที่สูงขึ้นเทียบกับไตรมาสก่อน และ จะมีกำไรจาก inventory gain ซึ่งจะช่วยหักลบกับค่าพรีเมี่ยมของน้ำมันดิบที่คาดว่าจะสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าการกลั่นของ TOP จะได้รับผลกระทบจากมาร์จิ้นน้ำมันอากาศยานของดูไบ (Jet-Dubai Margin) ที่อ่อนแอ

บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ราคาเป้าหมาย 30.80 บาท โดยมองว่าภาพรวมยังคงแข็งแกร่ง และ GPM ยังมีช่วงให้เติบโตขึ้นอีกหลังจากการผลิตยานยนต์ในไทยกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนั้นยังอาจมีช่วงอัพไซด์อีก AH สามารถรักษา GPM และกำไรไว้ได้ในระดับเดิม

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท ทั้งนี้ เชื่อว่ากำไรในปี 2563 เป็นจุดต่ำสุดแล้ว และขณะนี้อยู่ในช่วงรีบาวด์ ผลักดันโดยการฟื้นตัวของกำไรจากธุรกิจปลายน้ำอย่างปิโตรเคมี การกลั่น และธุรกิจคัดแยกก๊าซ จากการคาดการณ์ต้นทุนก๊าซที่จะลดลง และดีมานด์ที่สูงขึ้น

บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO ราคาเป้าหมาย 12.40 บาท โดยเชื่อว่าพอร์ตสินเชื่อจะโตขึ้นมากจากความต้องการรถบรรทุกมือสองที่สูงขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และจากกลยุทธ์ขยายสาขา (ล่าสุดขยายเพิ่มอีกสองสาขาที่สมุทรปราการ และปทุมธานี) เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งจะเป็นตัวเร่งหลักที่จะทำช่วยเสริมผลงานในปีนี้ให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ในส่วนของกำไรไตรมาสที่สอง FSSIA คาดว่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน แต่จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ และจากการระบาดของโควิด-19รอบใหม่

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ราคาเป้าหมาย 54.00 บาท โดยมองว่าบริษัทมีจุดเด่นสามด้านที่สร้างความแตกต่างให้ไม่เหมือนคู่แข่ง และจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ได้แก่ 1. มีการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยดำเนินการธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ 2. ซินเนอร์จี้กับ BAY และ 3. มีการเติบโตที่ยั่งยืน

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท ทังนี้ เชื่อว่ากำไรจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564 จาก 1.กำไรจาก BKR2 และ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG 2.กำไรที่สูงขึ้นจาก SPP และ IPP ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นมีดีมานด์ที่สูง 3. แนวโน้มได้งาน 6GW LNG-based IPP ในเวียดนาม และ 4) กำไรปันผลจาก INTUCH

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท โดยคาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2564 ที่ 18% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ ไตรมาสที่จะมีผลงานที่ดีที่สุดจะอยู่ในไตรมาสที่ 4 ผลักดันโดยการเติบโตของสินเชื่อ 5.8% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากกลยุทธ์ที่เข้าซื้อสินเชื่อเช่าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้นแล้วยังคาดว่ารายได้จากค่าฟีจะสูงขึ้น จากการทำดีลลงทุนใหญ่ๆ และค่าฟีจากธุรกิจนายหน้า ซึ่งการเติบโตนี้จะช่วยหักลบการขาดทุนจากการขายรถทอดตลาดหลังโปรแกรมพักหนี้ของธปท.หมดลง

Back to top button