
คลิป “ฮุน เซน-แพทองธาร” สะเทือนรัฐบาล! 3 ทางออกเสี่ยงเสียงปริ่มน้ำ SET ร่วง-ศรัทธาสั่น
เปิด 3 ทางเลือก “รัฐบาลเพื่อไทย” คลิปเสียง “แพทองธาร-ฮุน เซน” พ่นพิษเสถียรภาพการเมืองไทย! “3 นักรัฐศาสตร์” วิเคราะห์รอบด้าน ฟาก “ตลาดหุ้นไทย” หล่นทันที -1.71% รับแรงสั่นคลอน ย้อนสถิติเหตุการณ์ช็อกการเมือง ทางไหนตลาดฟื้น vs ทางไหนยิ่งร่วง?
กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ ที่ทิ้งบอมใส่ “พรรคเพื่อไทย” และ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” กับคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่หลุดออกมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ไม่เพียงจุดกระแสความไม่พอใจในเชิงสังคมเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและตัวผู้นำของไทย ชนิดที่เรียกว่าสั่นคลอนศรัทธาทั้งในทางการเมืองและตลาดทุน
นอกจากนั้น ภาพบรรยากาศทางการเมืองในขณะที่ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” เหลือเพียง 255 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ 495 คน ในสภาผู้แทนราษฎร หลังพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวอย่างเป็นทางการ คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า “นายกรัฐมนตรีจะเลือกเดินบนเส้นทางใด?”

3 นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ประเมินไว้ตรงกันว่า ผู้นำหญิง คนที่ 2 ของประเทศไทย ต่อจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังยืนอยู่ตรงทางแยกสำคัญ ที่มี 3 ทางออกหลัก ได้แก่ “ลาออก – ยุบสภา – อยู่ต่อ” โดยแต่ละทาง ล้วนมีต้นทุนทางการเมืองและผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับที่แตกต่างกัน
- ทางเลือกที่ 1 “ลาออก” ฟื้นศรัทธาเร็วที่สุด แต่ต้องคัดคนให้ได้
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า มองว่า การลาออก คือทางเลือกที่ง่ายและมีผลเร็วที่สุด เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร โดยใช้ “บัญชีรายชื่อแคนดิเดต” จากบัญชีพรรคการเมือง โดยต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159
มุมนี้สอดคล้องกับ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เน้นว่า หากผู้นำตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปเสียงส่งผลกระทบต่อความศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชน โดยเฉพาะในมิติที่เกี่ยวพันกับกองทัพ การ “ลาออก” คือการแสดงความรับผิดชอบทางจริยธรรมขั้นพื้นฐาน
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เห็นว่า การลาออกต้องพิจารณาถึงผลลัพธ์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่อยู่ในรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้พรรคที่เสนอแคนดิเดต ต้องมี สส. ไม่ต่ำกว่า 25 คน ตามมาตรา 159
โดยในปัจจุบัน มีผู้ถูกเสนอชื่อไว้รวม 6 คน ตาม “บัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ที่พรรคต่าง ๆ ยื่นไว้ในการเลือกตั้งปี 2566 ประกอบด้วย นายชัยเกษม นิติสิริ (เพื่อไทย), นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย), พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (พลังประชารัฐ), พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รวมไทยสร้างชาติ), นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ประชาธิปัตย์)
อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของ อ.ยุทธพร นั้น พล.อ.ประวิตร อาจหมดสิทธิ เนื่องจากปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐมี สส. ไม่ถึง 25 คน ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ
- ทางเลือกที่ 2 “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชน แต่เสี่ยงสุญญากาศ
ดร.สติธร เห็นว่า การยุบสภาแม้จะเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกผู้นำใหม่โดยตรง แต่ต้องไม่ลืมว่า นายกรัฐมนตรีจะยังดำรงตำแหน่ง ในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น ซึ่งอาจใช้เวลานานนับเดือน
รศ.ดร.โอฬาร เตือนว่า หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจเดินหมากนี้ อาจต้องเผชิญกระแสตีกลับจากประชาชน หรือเสี่ยงพ่ายการเลือกตั้ง โดยเฉพาะหากพรรคประชาชน ซึ่งกำลังมาแรงในฐานะฝ่ายค้านหลัก มีการจัดทัพอย่างแข็งแรงในเวลาอันสั้น
รศ.ดร.ยุทธพร ระบุว่า หากมีการยุบสภา ต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ตามรัฐธรรมนูญ แต่อาจลากยาวถึง 3-4 เดือน รวมถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล และระหว่างนั้นประเทศไทยจะเข้าสู่ “ภาวะสุญญากาศทางการเมือง” ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อ “ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569” ที่จะต้องตกไปโดยปริยาย แต่ยังอาจเปิดโอกาสให้กัมพูชา ใช้จังหวะทางการทูตเดินเกมระหว่างประเทศเพิ่มเติม หลังยื่น 4 พื้นที่ คือ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาเมือน และสามเหลี่ยมมรกต ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
- ทางเลือกที่ 3 “อยู่ต่อ” เดินหน้าประคองเสียง แต่ต้องเผชิญแรงต้านจากหลายทิศ
ทางเลือกนี้คือ “เส้นทางที่ยากที่สุด” ในการรักษาเสถียรภาพ เพราะรัฐบาลมีเสียงใกล้เคียงเสียงข้างน้อย และต้องพึ่งพาพรรคร่วมอย่างสูงในการผลักดันนโยบายสำคัญ
รศ.ดร.ยุทธพร ระบุว่า หากนายกฯ ต้องการอยู่ต่อ ต้องมีการแถลงจุดยืนอย่างชัดเจนในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับสมเด็จฮุน เซน, ท่าทีต่อกัมพูชาในระดับทวิภาคี ไปจนถึงการปรับความสัมพันธ์กับกองทัพ และ ขอโทษประชาชนที่ทำให้ไม่สบายใจ
รศ.ดร.ยุทธพร ทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่มีใครตัดสินใจได้ดีเท่านายกฯ ครับ ตอนนี้ นายกฯ ต้องพิจารณาเอง” พร้อมย้ำว่า ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นตัวชี้ชะตาในระยะสั้น หากนายกฯ เลือกอยู่ต่อ แต่พรรคร่วมไม่เอาด้วย การบริหารประเทศก็อาจไปไม่ถึงเส้นชัย
ขณะที่ รศ.ดร.โอฬาร เตือนว่า หากนายกฯ เลือกเส้นทางนี้ด้วยการแจกจ่ายตำแหน่งรัฐมนตรีให้พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประคองเสียงโดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางจริยธรรม อาจทำให้ศรัทธาทางการเมืองพังทลาย หากนำตำแหน่งที่เหลือ ไปแจกจ่ายให้กับบรรดาพรรคร่วมที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนมากกว่าจริยธรรม ถ้าทำอย่างนี้ รัฐบาลยังสามารถผลักดันกฎหมายสำคัญ อาทิ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ และเร่งดำเนินคดีฮั้ว สว. เพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย รีบยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ สืบทอดอำนาจต่อไป
ด้าน ดร.สติธร มองว่าการอยู่ต่อ แต่รัฐบาลต้อง ปรับ ครม. ครั้งใหญ่ ซึ่งทางเลือกนี้ต้องขึ้นอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ว่าจะถอนตัวอีกหรือไม่ เพราะการจะเดินต่อเป็นรัฐบาลพรรคเดียว หรือมีเพียงพรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาชาติ คงไม่ไหว เพราะเงื่อนไขสำคัญ คือ เสียง สส. ไม่ถึงครึ่งของสภาฯ แม้จะเป็นทางเลือกที่เลือกได้ แต่ปัจจัยภายนอกเข้ามากำหนดเยอะ
ทั้งสามทางเลือก ล้วนมีต้นทุนทางการเมืองแตกต่างกัน และ “ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป” ว่าแบบใดดีที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทางออกใดจะถูกเลือกในท้ายที่สุด เสถียรภาพของรัฐบาล และความชัดเจนของผู้นำ ล้วนส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนโดยตรง
ตลาดหุ้นตอบสนองในทันที เมื่อคลิปเสียง “แพทองธาร-ฮุน เซน” เผยแพร่ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 โดย SET Index ปิดที่ 1,094.58 จุด ลดลง 19.00 จุด หรือ -1.71% มูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 3.60 หมื่นล้านบาท โดยแรงเทขายหลักมาจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 1,340 ล้านบาท รวมถึงนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,142 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงแรงกระเพื่อมจากภาวะศรัทธาทางการเมืองที่เริ่มสั่นคลอน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “จุดเปลี่ยนทางการเมือง” สร้างแรงสะเทือนต่อตลาดทุนไทย ข้อมูลย้อนหลังของตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ว่า ดัชนี SET มักตอบสนองในสองจังหวะ ได้แก่ “แรงขายทันที” เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และ “การฟื้นตัวแบบมีเงื่อนไข” หากมีทางออกที่ชัดเจนและเชื่อถือได้กลับคืนมา
ประสบการณ์ปี 2567 ยืนยันแนวโน้มนี้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น วันที่ 14 สิงหาคม 2567 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี SET ปรับลดลงทันทีลงมาปิดที่ 1,292.69 จุด ลบไป 5.10จุด หรือ -0.39%
แต่ภายใน 5 วันทำการ หลังสภาฯ โหวตเลือก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่งผลให้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 ดัชนีกลับฟื้นตัวขึ้นมาปิดที่ ปิดที่ 1,323.38 จุด บวก 20.38 จุด หรือ +1.56% นักลงทุนตอบรับด้วยความหวังว่าเกมการเมืองจะคลี่คลายโดยเร็ว
หากย้อนดูช่วง 5 วันก่อนหน้าที่จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ (14-19 สิงหาคม 2567) จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้แสดงอาการวิตกกังวลแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ดัชนีกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อเทียบระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่ง SET ปิดที่ 1,292.69 จุด กับวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งดัชนีปิดที่ 1,323.38 จุด เท่ากับว่า SET ปรับขึ้นรวม 30.69 จุด
ในทางตรงข้าม หากการเมืองดำเนินต่อด้วย “ความคลุมเครือ” ไร้จุดยืน ไร้ทิศทาง และปราศจากแรงสนับสนุนจากพันธมิตรที่จริงใจ ย่อมสร้างความเสี่ยงสะสม และบั่นทอนศรัทธาในระดับที่ลึกกว่า
สำหรับตลาดทุน ความไม่แน่นอนคือ ศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเมื่ออนาคตไม่อาจคาดการณ์ได้ นักลงทุนมักเลือกที่จะถอย หยุดเคลื่อนไหว และหันไปพักเงินไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย แทนที่จะเสี่ยงกับความคลุมเครือที่ยังมองไม่เห็นทางออก
ข้อเท็จจริงคือ “ตลาดหุ้นไทย” มักตอบรับเชิงบวกกับ “ความชัดเจน” เสมอ